“นี่เป็นยุคของพวกน้องแล้วนะ” Yokee Playboy กับ 23 ปีแห่งการบำเพ็ญตบะทางดนตรีอย่างไม่ลดละ

ระหว่างเดินทางกลับจากการพูดคุยกับ โป้–ปิยะ ศาสตรวาหา หรือที่ทุกคนรู้จักในนาม ‘โป้ Yokee Playboy’ ในวาระครบ 23 ปีของการหมั่นเพียรทำดนตรีในสไตล์เฉพาะตัว นับจากวันที่เปิดตัวอัลบั้มแรกเมื่อปี 2539 เราคิดอยากฟังเพลงฮิตของเขาในวันวาน จึงลองค้นหาดูในแอพพลิเคชั่นสตรีมมิ่ง แล้วก็เจอเพลงเก่าๆ สมัยฟังผ่านซีดีและวิทยุ ไล่เรียงมาจนถึงเพลงสดใหม่ใน WE อัลบั้ม EP

ทั้งสามชุดที่ว่าไปเป็นผลงานในวันที่เขาเติบโตเป็นศิลปินขี้เล่นอารมณ์ดีอายุขึ้นเลขสี่ มีครอบครัว และลูกสาววัย 7 ขวบ ซึ่งเป็นช่วงเวลาเดียวกับที่แวดล้อมวงการดนตรีและการฟังเพลงไม่เหมือนเดิม

ความรุ่งโรจน์ทางดนตรีของเขาก็ผ่านไปแล้วหลายสิบปี ต้องทำเพลงและจัดการทุกอย่างเองในฐานะศิลปินอิสระ ไร้สังกัด โดยที่ยอดขายเทปหรือซีดีไม่อาจเป็นตัวชี้วัดความสำเร็จหรือแปรเปลี่ยนกลายเป็นเงินใช้เลี้ยงชีพได้เพียงพอ

ช่วงเวลาที่ศิลปินรุ่นราวคราวเดียวกันส่วนใหญ่เลือกก้าวลงจากเวที และแยกย้ายกันไปในเส้นทางอื่น–แต่เขายังอยู่ที่เดิม 

มากไปกว่านั้น เขากลับมุ่งมั่นทำในสิ่งที่รักด้วยความพยายามที่มากขึ้นกว่าเก่า ด้วยเป้าหมายที่ชัดเจน คือการใช้เสียงดนตรีและเนื้อเพลงส่งเสริมให้สังคมดีขึ้นไม่มากก็น้อย ราวกับว่าเขาเป็นโยคีที่มองเห็นทางออกของชีวิตรออยู่ข้างหน้า จึงมุ่งบำเพ็ญตบะให้แก่กล้าโดยไม่สนแรงเสียดทานใดๆ 

แม้ว่าสุ้มเสียงของเขาจะไม่เปลี่ยนไปมากนัก แต่เรื่องราวต่อไปนี้ ที่อาจเรียกได้ว่าเป็นสิ่งที่เขาค้นพบและเรียนรู้จากการบำเพ็ญตบะ ก็อาจทำให้คุณฟังเพลงรสชาติดีของ Yokee Playboy ด้วยความรู้สึกที่ต่างไป

 

มีคนเคยพูดกันว่า เพลงที่ชอบหรือเพลงประจำชีวิต จะหยุดอยู่แค่ช่วงที่เราอายุยี่สิบ ไม่เพิ่มไปมากกว่านั้น ในฐานะคนทำดนตรีคุณเห็นด้วยไหม

เราว่ามันเหมือนหนังสือ ถ้าเราเจอสิ่งดีๆ ก็แค่จับเข้าคลังของเรา อย่าเพิ่งไปตั้งแง่ว่ามันจะไม่เพราะ หรือเพราะมันไม่ใช่เพลงที่คุณคุ้นเคย เราเชื่อว่ายังมีเพลงรอประกอบเป็นซาวนด์แทร็กให้กับชีวิตคุณอีกหลายเพลงเลย ปล่อยให้มันเป็นไปตามธรรมชาติ แต่ก็เข้าใจได้นะว่าพอคนเราโตขึ้น มีภาระรับผิดชอบเยอะขึ้น อาจจะไม่ได้สนใจฟังเพลงเอาเป็นเอาตายเหมือนตอนวัยรุ่น มันไม่ผิดเลยที่เราจะรับเพลงเข้าคลังได้น้อยลงถ้าเทียบกับตอนวัยรุ่น แต่อย่าเพิ่งปฏิเสธแล้วกันถ้าจะมีเพลงใหม่ๆ ผ่านเข้ามา

แสดงว่าคุณยังคงได้ฟังผลงานของศิลปินรุ่นใหม่ๆ อยู่

แน่นอน เราชอบหลายวงเลย สมเกียรติ, Whal & Dolph, Safeplanet ผมก็ฟัง จริงๆ มีอีกเยอะเลย และอยากส่งข้อความไปถึงน้องๆ ทุกวงด้วยว่าเราเชียร์อยู่ นี่เป็นยุคของพวกน้องแล้วนะ ช่วยทำให้วงการของพวกเรามีเกียรติ ทำงานอย่างเต็มความสามารถ ในแง่ตัวเงินคุณอาจทำได้ไม่มากในยุคนี้ และไม่มีหน่วยงานอะไรในประเทศนี้มารองรับดูแลคุณเลย แต่สิ่งที่อยากให้น้องที่ทำเพลงทุกคนรู้ไว้ก็คือ สิ่งที่คุณทำอยู่นั้นมันสร้างแรงบันดาลใจและความสุขให้คนอื่น อันนี้ได้บุญครับ

 

เท่าที่ฟังผลงานของคุณยุคหลังๆ พบว่ามันยังเป็นเพลงที่เข้ากับยุคสมัยไม่ต่างจากที่คุณเคยทำได้เมื่อตอนวัยรุ่น อะไรคือสิ่งที่ทำให้คนอายุสี่สิบกว่ายังสามารถทำเพลงที่วัยรุ่นสนใจได้

ต้องเล่าก่อนว่าเพลงเราในชุดใหม่ เราจะแบ่งเป็นสองส่วน ส่วนแรกคืองานทดลอง อะไรที่ไม่เคยทำ แนวไหนแบบไหนที่เราอยากทำก่อนตายก็ทำเลย ซึ่งคนฟังบางคนอาจจะเหวอกับสิ่งที่ได้ยิน อาจไม่สะดุดหู แต่ไม่เป็นไร เราแค่อยากทดลอง กับอีกส่วนหนึ่งคืองานที่เราไม่ได้อยากทดลองอะไร แค่อยากถ่ายทอดความรู้สึกออกไปตรงๆ ซึ่งเราเข้าใจว่าหลายๆ คนรู้จักเราจากเพลงในสไตล์แบบนั้น เขาก็คงคาดหวังว่าจะได้ฟังเพลงลักษณะนี้จาก Yokee Playboy อีก

ส่วนน้องๆ วัยรุ่นยุคใหม่ก็เช่นกัน คงเคยได้ยินเพลงแบบนั้นของเราบ้าง แต่เพลงใหม่ๆ ที่เราทำ เราพยายามใส่พลังงานดีเข้าไปด้วยนะ หวังว่ามันจะมีผลต่อสังคมบ้างไม่มากก็น้อย อย่างเพลง รอจนกว่าฝนซา ก็จะพูดว่าอย่าเพิ่งคุยกันตอนที่เรากำลังมีอารมณ์หรือทะเลาะกัน เพราะคุณจะไม่ใช้เหตุผลหรอก เพลงนี้เกิดจากเราเห็นข่าวบ่อยๆ ว่าคนเลิกกัน หรือแค่ไม่ถูกกันก็ฆ่ากันตายแล้ว ชีวิตทุกชีวิตมีค่า ทุกคนเกิดมามีสิทธิเลือกใช้ชีวิต แล้วเราก็อยากมีส่วนช่วยเหลือสังคม ถ้ามีคนฟังเพลงของเราแล้วคิดตามเราไปด้วย เขาก็อาจจะคิดได้ว่า จริงๆ เราไม่เห็นจะต้องเอาอารมณ์มาประหัตประหารกันเลย 

ทำไมต้องทดลองทำเพลงที่ไม่เคยทำ

เราอยากสัมผัสประสบการณ์ทุกๆ แบบ เราอาจไม่ใช่คนแนวดนตรีนั้นๆ หรอก แต่ก็อยากรู้ว่ามันจะเป็นยังไง ขอทำตัวเป็นนักท่องเที่ยว เข้าไปสำรวจ ซึมซับอะไรบางอย่าง แล้วค่อยกลับมาเป็นตัวเอง บางเพลงปล่อยไปแล้วก็หายไปเลย ซึ่งเรารับได้ เพราะเราอยากทำ 

 

ถ้าไม่ได้หวังผลตอบรับที่ดี จะรู้ได้อย่างไรว่าเพลงทดลองที่ทำไปนี้ดีแล้ว

คือแค่ทำเสร็จเราก็มีความสุขแล้ว แต่เรื่องวัดผลความสำเร็จ เราขอบอกว่ายุคนี้เป็นยุคที่วัดความสำเร็จได้ยากมาก คุณไม่มียอดขายเทปซีดีเป็นตัวชี้วัดแล้ว ความนิยมบนคลื่นวิทยุก็วัดได้แค่ระดับหนึ่ง เพราะทุกคนก็หันไปใช้ช่องทางอื่นๆ ในการฟังเพลง เดี๋ยวนี้คนก็จะวัดจากยอดวิวบนยูทูบ กับจำนวนครั้งที่ฟังบนแอพพลิเคชั่นต่างๆ ซึ่งเราก็ไม่รู้ว่าจะใช้สิ่งนี้วัดความสำเร็จได้จริงๆ หรือเปล่า ก็คงได้ระดับหนึ่ง เราเองก็กำลังค้นคว้าอยู่เหมือนกันว่าอะไรพอจะเป็นบรรทัดฐาน หรือตัวชี้วัดความสำเร็จให้เราได้ ยังค้นหาอยู่…อ้อ ถ้าเพลงนั้นมันพอจะส่งผลต่อชีวิตใครบ้าง เราถือว่าเพลงนั้นโอเคแล้ว เพราะไม่เพราะ ดังไม่ดังไม่เป็นไรเลย 

 

เท่าที่ฟังเหมือนคุณตั้งใจจะทำเพลงเพื่อสื่อสารมากกว่าทำให้คนชอบ

ใช่ครับ ถูกต้องครับ

 

คิดอย่างนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่

ก็ตอนโตหน่อยแล้ว เมื่อก่อนไม่ได้คิดอะไรพวกนี้หรอกครับ (หัวเราะ) 

 

ถ้าย้อนกลับไปตอนทำเพลงแรกๆ ตอนนั้นชีวิตเป็นยังไง คิดอะไรอยู่ 

ไม่ได้คิดอะไร เพราะชีวิตของเรามันเหมือนถูกจับมาวางไว้ ตอนนั้นเรารู้จักกับคุณโต้ง–มณเฑียร แก้วกำเนิด มือกีตาร์ของ P.O.P เรียนมหาวิทยาลัยมาด้วยกัน ตอนนั้นก็เรียนโดยที่ไม่รู้หรอกนะว่าชอบหรือเปล่า แต่กิจกรรมหนึ่งที่เราพบว่าอยู่กับเราตลอดเวลาคือการเล่นดนตรี ตอนเรียนก็มีออกไปหาร้านเล่นดนตรีตอนกลางคืนบ้าง อยู่ดีๆ วันหนึ่งโต้งโทรมาหา ชวนผมไปเล่นให้กับอรอรีย์ แล้วงานแรกของผมคือการไปเล่นโชว์ต่อหน้าคนห้าพันคนที่สนาม ทบ. ผมไม่รู้ด้วยว่าจะต้องเจออะไรแบบนั้น ก็หลับตาลุยๆ กันไป แล้วก็มีโอกาสเข้ามาอยู่ในค่าย Bakery Music หลังจากนั้น

ช่วงที่ผมอายุสามสิบกว่า ผมเคยคิดจะเดินออกมาจากการทำดนตรี เพราะหมดสัญญากับ Bakery Music แล้วก็อยากลองหางานที่มั่นคงทำดูบ้าง จะได้รู้ว่ามันเป็นยังไง ที่ผ่านมาทำแต่ดนตรีมาตลอด มันหลอมรวมอยู่ในตัวเราจนเรากลัว เราไม่เคยออกไปจับงานอย่างอื่นเลย ก็เลยลองทำงานประจำดู

 

ผลการทดลองเป็นยังไงบ้าง

ค้นพบว่ามันไม่ใช่ตัวเรา เราก็เลยหันกลับมาหาดนตรีอีกครั้ง ซึ่งการกลับมาครั้งนี้เรากลับมาด้วยไฟที่แรงกว่าเก่า เหมือนรู้แล้วว่าจะอยู่กับดนตรีไปจนถึงวาระสุดท้าย รู้แล้วว่าชีวิตเราถูกจับวางมาแบบนั้น ก็เลยไปลงเรียนร้องเพลงเพิ่มเติม พยายามมากขึ้น

คุณน่ะเหรอเรียนร้องเพลง

ใช่ เรียนทักษะดนตรีอย่างอื่นด้วย เริ่มจากเมื่อ 3-4 ปีก่อน ทุกวันอาทิตย์จะพาลูกสาวไปเรียนเปียโน แล้วเขาจะให้ผู้ปกครองเข้าไปนั่งดูแลลูกด้วย แต่วันหนึ่งครูเดินมาพูดว่า ครูว่าคุณพ่อตั้งใจเรียนมากกว่าลูกเยอะเลย งั้นครูจะสอนให้คุณพ่อด้วย ซึ่งมันดีอย่างตรงที่มันเป็นคอร์สสำหรับเด็กอนุบาล มันจะไปช้าๆ ง่ายๆ เหมาะกับเรามากๆ เพราะเราไม่เคยรู้ทฤษฎีดนตรีมาก่อนเลย แต่ก่อนเราทำเพลงไปด้วยความชอบ อาศัยการทำซ้ำๆ 

ต่อมาเราได้รับเชิญไปแข่งรายการ The Mask Singer เขาอยากให้ร้องเพลงที่ไม่ใช่ตัวเรา ซึ่งพอดีว่าถัดจากบ้านเราไปสักหนึ่งกิโลเมตร คือบ้านของคุณสนุ๊ก–กรวีร์ สุนทรวิภาต ซึ่งเรียนจบการร้องโอเปร่าจากอิตาลี แล้วมาเปิดคอร์สสอนที่ไทย สอนเด็กๆ เรารู้จักเขาผ่านเพื่อนคือ คุณเดียร์ (นักรบ แนวณรงค์) วง Acappella 7 ก็เลยไปขอให้เขาสอนร้องโอเปร่าเพื่อจะไปออกรายการ ได้เรียนอยู่แค่สองสามหนก็ต้องใช้เลย จริงๆ ก็กังวลนะ เพราะไม่เคยร้องสูงขนาดนั้น สนุ๊กบอกเราว่า พี่ทำได้ พี่ต้องจินตนาการว่าเสียงมันโปรเจกต์ไปแบบนี้นะ ผมก็เอาแล้ว เหนือธรรมชาติแล้ว (หัวเราะ) แต่พอไปร้องจริงๆ มันทำได้ว่ะ เราเป็นคนขี้อวด เวลาที่คนเชื่อว่าเราทำได้ก็จะทำได้ วันนั้นก็คงเป็นเพราะเขาเชื่อในตัวเรา

 

พอได้เรียนรู้ศาสตร์เหล่านี้แล้วมีผลอย่างไรต่อการทำเพลงบ้าง

รู้จักเพลงของตัวเองมากขึ้น มองเห็นว่าเพลงแต่ก่อนของเราจะหม่นๆ เทาๆ ส่วนใหญ่เป็นโทน Minor ไม่สว่างโร่ พอเราเข้าใจก็เริ่มอยากลองเอาไปเดินตากแดดบ้าง ทำเพลงใช้คอร์ด Major บ้าง อีกอย่างที่ได้คือความมั่นใจ คือเราเป็นคนที่ชอบจับเครื่องดนตรีแล้วก็เล่นไปเรื่อย แต่ตอนนี้เราสามารถแต่งเพลงโดยรู้หลักการบ้างแล้ว ก็เลยลองแต่งเพลงกับเปียโนดู เพลงในอัลบั้ม WE ทั้งหมดก็มาจากจุดนี้

ทั้งที่ช่วงอายุเท่านั้น สำหรับคนทั่วไปก็น่าจะเป็นช่วงที่ลงหลักปักฐาน ได้เลื่อนขั้นไปสู่ตำแหน่งสูงๆ แต่คุณกลับเริ่มนับหนึ่งใหม่กับการเป็นศิลปินอิสระ ไม่เคว้งคว้างเหรอ

หดหู่มาก เริ่มกลับมามองสิ่งที่ตัวเองเคยภูมิใจ เริ่มสงสัยว่าถ้าเรายังทำดนตรีต่อไปชีวิตข้างหน้าจะเป็นยังไง เราจะเป็นตำแหน่งอะไรวะ มันไม่เหมือนงานอื่นๆ ที่มียศ มีตำแหน่ง เราทำงานนี้มาจะครึ่งชีวิตแล้ว เราได้อะไร ตอนนั้นมีแต่คำถามเต็มไปหมด คนอายุสามสิบกว่าแล้วยังทำดนตรีอยู่นับคนได้เลยนะ แล้วพออายุสี่สิบก็ยิ่งเหลือน้อยเข้าไปอีก 

แต่สุดท้ายเราหนีดนตรีไม่พ้น ช่วงนั้นทำให้เราได้รู้จักตัวเองมากขึ้น รู้ว่าอยากทำอะไร ชอบอะไร เห็นส่วนดีและไม่ดีของตัวเอง เริ่มพยายามนำส่วนที่ดีมาทำให้เกิดประโยชน์ คือไม่รู้หรอกว่าเข้าใจชีวิตถูกหรือยัง อาจจะผิดก็ได้ แต่เอาเป็นว่าตอนนี้มีความสุข ทุกวันนี้ก็เลยต้องกลับมาฟิตซ้อมแข่งกับน้องๆ (หัวเราะ)

 

ต้องปรับตัวปรับวิธีคิดยังไง

ปรับทุกอย่าง ทุกสิ่งอย่างเปลี่ยนไปหมด นี่ก็สู้เองมาสัก 2-3 ปีแล้ว หลังจากที่เรียนเพิ่มเติมเราก็สร้างห้องเก็บเสียงที่บ้าน เป็นห้องบันทึกเสียงด้วย เป็นสตูดิโอไว้ฝึกหูตัวเองด้วย จริงๆ เข้ายิมเพื่อลดน้ำหนักด้วยอีกอย่าง แต่อันนี้ไม่สำเร็จ ก็เลยใช้วิธีล้างสมองคนฟัง เวลาออกไปโชว์ก็จะพูดอยู่เสมอว่าผมเชื่อว่าตัวเองคือคนที่หุ่นดี (หัวเราะ) 

เราเชื่อว่าความสำเร็จก็เหมือนลมหายใจ มันผ่านไปแล้ว บางคนที่ยังยึดติดก็จะทุกข์มาก แต่เราโชคดีที่พบว่าความสุขของเราไม่ได้อยู่ตรงนั้น แต่อยู่ที่การก้าวข้ามภูเขาแห่งความท้าทายไปเรื่อยๆ พอเราผ่านไปได้เราก็รู้ของเราเอง ส่วนเรื่องอื่นๆ เป็นแค่ส่วนประกอบ แล้วตอนนี้มันก็เป็นช่วงเวลาของน้องๆ ศิลปิน เราเชื่อว่าคนทุกยุคก็ย่อมอยากฟังเพลงจากเสียงของศิลปินยุคนั้น เราเข้าใจและยอมรับมันได้ เพราะตอนยุคเรามันก็เป็นอย่างนี้ ก็เลยคิดแค่อยากทำเพลงที่เราชอบ เพลงที่เพราะที่สุด ซึ่งทุกวันนี้ก็ยังตามหาเพลงเพลงนั้นอยู่ เรามองว่าตัวเองคือเกษตรกร คือคนที่ไม่อยากรับสารพิษจากวัตถุดิบต่างๆ คุณก็เลยปลูกเอง ปรุงเองอย่างที่ชอบ แล้วก็กินเอง ที่เหลือก็ค่อยส่งแบ่งขาย อาจจะพอเรียกได้ว่าเป็นเกษตรกรดนตรี

แล้วในแง่ของการจัดการงานเพลงหรืองานโชว์ล่ะ

ภรรยาครับ คุณหนูเล็ก เราโชคดีที่ภรรยาเข้าใจในอาชีพของเรา ให้เกียรติในอาชีพของเรา ซึ่งน้อยคนมากที่จะเข้าใจสิ่งเหล่านี้ เท่านี้ก็ถือว่าแบ่งเบาความหนักอึ้งจากผมไปได้เยอะแล้ว แต่เขาดันช่วยงานเราได้ด้วย ช่วยประสานงาน ช่วยติดต่อทุกอย่าง ความสำเร็จของผมเกิดจากเขา 60-70% ด้วยซ้ำ นอกจากดูแลตรงนี้ให้เราแล้วยังดูแลลูกอีกด้วย มันเป็นงานที่หนักมาก 

 

อุทิศชีวิตให้กับดนตรีมาโดยตลอด แล้วเรื่องครอบครัวเข้ามาในความคิดคุณเมื่อไหร่

ก็ช่วงที่หดหู่นั่นแหละ มันเริ่มมองหาว่าอะไรที่หายไป ลึกๆ แล้วเราเป็นคนที่เชื่อเรื่องครอบครัวมาก ก่อนหน้านั้นมีความสุขก็ขึ้นไม่สุด มีความทุกข์ก็ไม่มีแรงจูงใจจะผลักตัวเองขึ้นมาสักที จนเริ่มมีความคิดว่าตอนแก่ตัวไปเราจะเป็นยังไง ถ้าเราอยู่ตัวคนเดียวไปเรื่อยๆ เละแน่ เราไม่อยากเป็นแบบนั้นตอนแก่ แล้วก็เป็นที่มาของความคิดที่อยากจะมีลูกสาว คำแรกที่คิดคือลูกสาวเลย นึกถึงความเทคแคร์เอาใจใส่พ่อแม่ของลูกสาว คือเราอาจจะคิดผิดก็ได้นะ แต่สุดท้ายความคิดนี้มันก็เกิดขึ้นเองโดยธรรมชาติ ช่วงนั้นเวลาขึ้นคอนเสิร์ต เราจะชอบตะโกนว่า “ผมอยากได้ลูกสาวครับ!” คนดูก็จะงงๆ หน่อย ตะโกนไปเรื่อย จนได้ลูกสาวจริงๆ

ขนาดตอนเจอคุณหนูเล็ก เรายังบ้าขนาดที่เดินไปบอกเขาว่าเรากำลังหาแม่พันธุ์อยู่ ถ้าคุณไม่ได้คิดไกลขนาดนั้นก็ไม่เป็นไรนะ จะได้ไม่เสียเวลากัน นี่มันคนบ้าชัดๆ (หัวเราะ) แต่ตอนนี้เขาก็เปลี่ยนไปเยอะแล้วครับ เขาคนนั้นเข้าใจผู้หญิงมากขึ้นแล้ว

คุณเป็นคุณพ่อแบบไหน 

ทุกวันนี้รู้สึกได้ว่ามีความเป็นอาเจ้มากขึ้น ฮอร์โมนผู้หญิงน่าจะเพิ่มขึ้นเยอะ เพราะเราต้องเข้าหาลูกสาว เห็นเขาเล่นตุ๊กตา คุยกับตุ๊กตา เราก็ต้องทำตัวเป็นตุ๊กตา ดัดเสียงแล้วพากย์ เพื่อถามว่าเขาเป็นอะไร ทำไมหน้ามุ่ย ชีวิตเปลี่ยนไปเยอะมาก ไอ้คนป่าคนนั้นหายไปแล้ว เราเลี้ยงเขาโดยการเรียนรู้ไปพร้อมๆ กัน เพราะสิ่งที่เขากำลังเจอกับสิ่งที่เราเคยเจอมาตอนเด็กไม่เหมือนกัน แต่เราอยู่ยุคของเขานี่ เราเองนั่นแหละที่ต้องเรียนรู้ไปกับเขา แล้วทุกคนในบ้านต้องอารมณ์ดี ผมเชื่อว่าอารมณ์ดีแล้วอะไรดีๆ ก็จะตามมา ซึ่งก็เป็นอย่างนั้น และบ้านนี้พ่อแม่ขอโทษลูกได้ครับ

 

คนยุคนี้เวลาจะมีลูกค่อนข้างเครียดกับการวางแผนต่างๆ คุณเป็นอย่างนั้นไหม

อยากมีก็มีเลย รู้สึกว่าต้องมี เราแค่รู้สึกว่าเราคิดดี คือตอนที่อยู่กันสองคนเราก็ยังมองความสุขผ่านชีวิตตัวเองอยู่ ยังเอาตัวเองเป็นที่ตั้ง แต่พอมีลูก ตัวตนของเราจะเบา ทุกอย่างอยู่ที่ลูก แล้วความสุขจะเกิดง่ายขึ้น ก่อนหน้านั้นเคยทะเลาะกันเรื่องหยุมหยิม พอมีลูกปั๊บหายเรียบ ต่างคนต่างทุ่มให้ลูก 

 

การมีลูกให้อะไรกับชีวิตคุณบ้าง

มีความสุข เราบอกลูกทุกวันว่าตั้งแต่ลูกเกิดมาพ่อมีความสุขทุกวัน ภรรยาเราก็งงนะ เพราะปัญหาการงานมันก็ยังมีอยู่ ไม่ใช่ว่ามีลูกแล้วปัญหามันหายไปนะ แต่เพราะเรามีศูนย์รวมความดีงาม ความหวัง ความสุขอยู่ตรงนี้แล้ว ที่เหลือก็เลยเละๆ แบบนี้ครับ (หัวเราะ) 

มองภาพชีวิตในอนาคตไว้อย่างไรบ้าง

ถ้าเป็นเรื่องงานดนตรี แพลนต่อไปของเราก็คือทำครบ 3 EP แล้วเดี๋ยวจะเอามารวมกัน บวกเพลงใหม่เพิ่มเข้าไป ทำเป็นซีดีอัลบั้มเต็ม ทีนี้เรามองว่าคนไม่ซื้อซีดีกันแล้ว ถ้าซื้อก็เป็นในเชิงสะสมมากกว่า เพราะฉะนั้นเราก็ต้องจัดกิจกรรมที่จะรวบรวมคนที่ชอบเพลงเราเข้าไว้ด้วยกันแล้วขายทีเดียว ซึ่งก็คงจะเป็นงานคอนเสิร์ตใหญ่ของ Yokee Playboy ที่เราเคยสัญญากับแฟนเพลงไว้นานมากแล้ว พยายามจะจัดหลายทีแล้วแต่ก็มีอุปสรรคมาโดยตลอด ก็อยากบอกแฟนเพลงไว้ตรงนี้ด้วยว่า ที่เคยสัญญาไว้ เราพยายามทำมาโดยตลอด และคิดว่าใกล้เป็นจริงในเร็ววันนี้แล้ว

ส่วนเรื่องชีวิตก็มองหาความมั่นคง ตอนนี้เรามีความสุขอยู่แล้ว แต่จะทำยังไงให้ความสุขนี้มันอยู่ต่อไปได้นานๆ เราก็ต้องหารายได้เพิ่มขึ้น ทุกวันนี้นอกจากทำเพลงแล้วก็มี ‘ปรุง’ ร้านอาหารที่เรานั่งกันอยู่ตอนนี้ เปิดมาสักห้าปีได้แล้ว ก็ทำแบบสบายๆ เหมือนห้องรับแขก แต่เป็นห้องรับแขกที่สร้างเงินได้ด้วย ในยุคที่เศรษฐกิจเป็นแบบนี้ก็ต้องคิดแบบนี้แหละจะได้สบายใจ แล้วก็มีอีกธุรกิจหนึ่งคือรีสอร์ตที่จันทบุรี 

แปลว่าศิลปินอาจไม่เหมาะกับการเป็นอาชีพที่ทำระยะยาวแล้วหรือเปล่า

เราว่าต่อให้เป็นพี่ตูน Bodyslam ก็ต้องมีการวางแผนจัดการเงินที่ดี ใครที่เคยมองว่าศิลปินใช้เงินฟู่ฟ่า ไม่มีจริงหรอกครับ คุณไม่มีหน่วยงานอะไรมารองรับตอนเกษียณ เอาเข้าจริงก็ไม่รู้ว่าอาชีพนี้เกษียณตอนไหนด้วยซ้ำ คุณต้องจัดการตัวเองและเก็บเงินให้พอใช้ในวันที่ทำงานตรงนี้ไม่ไหวแล้ว ยิ่งถ้าคุณอยากมีลูก คุณก็ต้องคิดแบบนี้แหละ อันนี้ผมฝากบอกไปถึงไอ้บ้าคนนั้นด้วยนะ (หัวเราะ)

 

คุณมีอะไรอยากจะแนะนำศิลปินรุ่นใหม่ไหม

มันเป็นอาชีพที่มีเกียรติ ไม่ว่าคุณจะเป็นคนแต่งเพลง นักดนตรี หรือนักดนตรีเล่นตามร้านตอนกลางคืน จงรักและภูมิใจ อย่าทำลายมัน นักดนตรีส่วนใหญ่จะละเอียดอ่อนกับการปฏิสัมพันธ์กับคน ฉะนั้นต้องเป็นคนดีด้วย ส่วนศิลปินยุคผมมันไร้ค่าแล้ว คุณค่าและความหวังมันอยู่ที่คนรุ่นใหม่แล้ว 

 

ถ้าบอกว่าไร้ค่าแล้วทำไมถึงยังทำเพลง

มันรักที่จะทำ เอาจริงเราก็ตอบไม่ได้ มันหลอมรวมกับชีวิตไปแล้ว ต่อให้เราไปเป็นนายกฯ เราก็คงใช้เวลาวันๆ ไปกับการแต่งเพลง โดนคนด่าว่าเอาแต่ทำอะไรวะ แต่เราก็จะน้อมรับ แล้วสุดท้ายก็คงลาออกและกลับมาทำเพลงอยู่ดี 

AUTHOR