ชีวิตในปัจจุบันของ เป๋า–กมลศักดิ์ สุนทานนท์ ที่รู้แล้วว่าความฝันมีได้ไม่รู้จบ

Highlights

  • พี่เป๋า หรือ เป๋า–กมลศักดิ์ สุนทานนท์ นอกจากจะเป็นนักร้องนำของวงโฟล์กรุ่นใหญ่อย่าง ‘นั่งเล่น’ แล้ว ยังเป็นนักแต่งเพลงอาวุโสผู้อยู่เบื้องหลังเพลงฮิตตลอดกาลอย่าง ขอให้เหมือนเดิม จากบูโดกัน และ เล่าสู่กันฟัง ของเบิร์ด ธงไชย รวมถึงเพลงอื่นๆ อีกกว่า 300 เพลง
  • แม้ปัจจุบันเขาจะดูเป็นนักแต่งเพลงผู้ประสบความสำเร็จมากที่สุดคนหนึ่งในวงการดนตรีบ้านเรา แต่ในช่วงหนึ่งของชีวิตพี่เป๋าก็เป็นผู้ประสบความล้มเหลวทั้งด้านการเรียนและการดนตรี การออกจากบ้านไปใช้ชีวิตที่ต่างประเทศมากกว่า 10 ปีครั้งนั้น เหมือนเป็นการท้าทายชีวิตตัวเองว่าจะได้เรื่องสักแค่ไหน  

ผมลังเลว่าจะใช้สรรพพนามเรียกเขาว่าอะไรดี จะลุงหรือน้า ตาหรือพี่ ถึงดูเหมาะสม ในเมื่อนักร้องนำของวงนั่งเล่นที่นัดนั่งคุยกันมีอายุ 66 ปี ซึ่งห่างกับผมหลายรอบ 

“การเป็นคนแก่ไม่ได้อยู่ที่อายุ มันอยู่ที่ไลฟ์สไตล์ ตราบใดที่เรายังมีคอนเทนต์ใหม่ๆ ตลอดเวลา เราก็จะไม่แก่ ผมแค่อายุมากแต่ไม่แก่ เพราะผมยังไปกับโลก ยังสื่อสารกับคนรุ่นใหม่ได้” เขาให้สัมภาษณ์ไว้ใน a day ฉบับที่ 135 ตั้งแต่ปี 2554 ผ่านมาจนถึงวันนี้ผมเชื่อว่าเขายังคงคิดเหมือนเดิม

ด้วยภาพที่เห็นตรงหน้าตอนนี้ ผู้ใหญ่วัยเกษียณใส่แว่นสายตากรอบวินเทจสีน้ำตาลแดง ไว้หนวดเครางามๆ ย้อมสีม่วงอมน้ำตาลแซมสีขาวเช่นสำลี พร้อมหมวกทรงปีกที่เขาใส่จนกลายเป็นคาแร็กเตอร์ประจำตัว สวมกางเกงยีนส์ปะเข่าที่ดูก็รู้ว่าแฟชั่นของเขาค่อนข้างเฉพาะตัว ช่วงบนสวมเสื้อยืดดำมืดไร้ลวดลายและมีสายสร้อยห้อยเครื่องประดับเม็ดเด่นสีไพลิน 

ผมคงต้องเรียกเขาว่าพี่ พี่เป๋า–กมลศักดิ์ สุนทานนท์

นอกจากนักร้องนำวงดนตรีชื่อ ‘นั่งเล่น’ เขายังเป็นนักแต่งเพลงอาวุโสที่มีฝีมือเข้าขั้นปรมาจารย์ ฝากผลงานเพลงผ่านปลายปากกากว่า 300 บทเพลง นักแต่งเพลงผู้อยู่เบื้องหลังเพลงดังตลอดกาลของเบิร์ด ธงไชย อย่าง เล่าสู่กันฟัง เพลงฮิตของพลพล อย่าง แค่มี เพลงโด่งดังของไท ธนาวุฒิ ที่ร้องว่า ‘ว้าย ว้าย ว้าย นี่ไอ้ประเทืองนี่หว่า’ หรือเพลงเพราะที่ทุกรุ่นต้องเปิดฟังจากวงบูโดกัน อย่างเพลง ขอให้เหมือนเดิม และเพลงอื่นๆ อีกมากมายที่ไม่ว่าใครฟังก็ต้องคุ้นหู

แม้ปัจจุบันเขาจะดูเป็นนักแต่งเพลงผู้ประสบความสำเร็จมากที่สุดคนหนึ่งในวงการดนตรีบ้านเรา แต่ในช่วงหนึ่งของชีวิตพี่เป๋าก็เป็นผู้ประสบความล้มเหลวทั้งด้านการเรียนและการดนตรี การออกจากบ้านไปใช้ชีวิตที่ต่างประเทศมากกว่าสิบปีในครั้งนั้นเหมือนเป็นการท้าทายชีวิตตัวเองว่าจะได้เรื่องสักแค่ไหน ไปเพื่อเรียนให้รู้ มุ่งเป้าหาความสำเร็จ และเมื่อได้ทำตามใจทั้งหมดแล้ว เขาบอกผมว่า “น่าเสียดาย ถ้าพี่รู้ตัวเองว่าชอบแบบนี้ จริงๆ พี่ไปเรียนดนตรีเลยดีกว่า” 

แต่ชีวิตไม่ได้มีสูตรสำเร็จใดๆ และพี่เป๋าในตอนนี้รู้ว่าตัวเองเป็นใครและต้องการอะไรมากที่สุด

ปัจจุบันแบบฉบับชีวิตของเขาเป็นเช่นไร อยากชวนทุกคนมานั่งเล่นพูดคุยไปด้วยกัน 

 

จุดเปลี่ยนหรือเหตุการณ์อะไรที่ทำให้พี่ต้องไปใช้ชีวิตที่ต่างประเทศ

ก่อนหน้าไปอยู่ต่างประเทศพี่ใช้ชีวิตเล่นดนตรีกลางคืนในไทย จนถึงวันหนึ่งรู้สึกว่าวงการเพลงเริ่มวิกฤต ตอนนั้นมีเรื่องดิสโกเทคเข้ามา พวกวงดนตรีเริ่มมีปัญหา พี่เริ่มไม่สนุกแล้ว เลยคิดว่าเป็นโอกาสให้เราไปหาอะไรใหม่ๆ พอดีมีคนรู้จักข้างบ้านเขาไปเรียนที่อเมริกา พี่เลยขอไปเที่ยวกับเขาด้วย ตอนไปมีกางเกงยีนส์ตัว กางเกงลายเสือตัว เสื้อแขนยาวตัว เสื้อยืด 2 ตัว รองเท้าผ้าใบคู่หนึ่ง ประมาณนี้แหละ ไว้ใส่เล่นดนตรี ตอนแรกกะจะไปเที่ยว แต่ไปถึงก็เจอคนนั้นคนนี้ อยู่ไปก็สนุก เผลอแป๊บๆ พี่อยู่เกือบสิบปี

 

ทำอะไรบ้างตอนอยู่ต่างประเทศ

ช่วงแรกไปทำงานร้านคนไทย จากนั้นก็ไปทำงานกับคนต่างประเทศที่ร้านโดนัท Winchell’s เป็นพนักงานขายกับพนักงานทำความสะอาด อยู่กะกลางคืนตั้งแต่สี่ทุ่มถึงเช้า ตอนนั้นใช้วิธีเรียนรู้งานอยู่กับคนทำโดนัท เพราะตอนดึกๆ จะไม่มีแขกเลยว่าง พี่ก็ไปอาสาช่วย แล้วเขาก็สอนทำขนมให้ หัดจากสูตรที่เขามีนั่นแหละ

เหมือนเป็นโอกาสที่พี่จะได้เริ่มต้นชีวิตใหม่ คิดว่าถ้าไปอยู่อเมริกา ญาติพี่น้องก็ไม่มี เพื่อนก็ไม่มี ไม่มีอะไรเลยสักอย่าง ดูสิว่าจะทำสำเร็จไหม ไปด้วยความเชื่อเดียวเลยนะว่าคนเราทำดีต้องได้ดี พี่เชื่อ เพราะพระพุทธเจ้าบอก พี่รักพระพุทธเจ้ามาก ด้วยความเชื่อนี้พี่ก็ลุย

ประสบความสำเร็จตามที่ตั้งใจหรือเปล่า

ที่เมืองนอกร้านโดนัทมีอยู่ทุกหัวมุมถนนเยอะแยะไปหมดเหมือนกับเซเว่นฯ บ้านเรา ตอนนั้นพี่อยู่นอร์ทฮอลลีวูด พี่ก็จะถามหาเลยว่าคนที่ทำโดนัทเก่งที่สุดในเมืองอยู่ที่ไหน ด้วยความเชื่อว่าต้องเป็นที่หนึ่ง พี่ก็จะแอบไปดูการทำงานของเขา ทั้งๆ ที่กลางคืนพี่ก็ทำงานมาทั้งคืนแล้วนะ ตอนเช้าไม่นอนหรอกจะแอบไปดู ไปนั่งอยู่ที่ Coffee Room แล้วก็ไปศึกษาการทำงานของเขา

พี่อาจจะทำโดนัทไม่เร็วเท่าคนอื่นนะ แต่พี่เป็นคนทำโดนัทสวย พี่เป็นคนรักสวยรักงาม รักศิลปะอยู่แล้ว พี่ทำโดนัทสวยแบบที่คนเขียนตำรามาขอเจอตัว หลังจากนั้นพี่ขยับไปเรื่อยๆ ศึกษาว่ารองผู้จัดการเขาทำงานอะไร พี่ดูแล้วก็ให้เขาสอน พอทำได้ก็ทำแทนเขา ตอนได้เป็นรองผู้จัดการพี่ก็ทำงานเต็มที่ ทำงานมากกว่าคนอื่นหลายเท่า ทำด้วยความไม่รู้ด้วย กลัวโดนไล่ออกด้วย ก็อยากให้มันออกมาดีที่สุด

พอได้เป็นรองผู้จัดการพี่ก็อยากเป็นผู้จัดการต่อไป พี่พยายามใช้เวลาอยู่หลายปีในที่สุดก็ได้เป็นผู้จัดการ ตอนได้เป็นผู้จัดการก็ใช้สูตรเดิม ผู้จัดการที่เก่งที่สุด ดีที่สุด ต้องทำยังไงบ้าง 

และตอนมี Quest for the Best จัดลำดับพนักงานเพื่อไปลงแม็กกาซีน เชื่อไหมมีอยู่ 7 รางวัล พี่ได้มา 6 ส่วนรางวัลที่ 7 พี่ได้ที่สอง หลังจากนั้นก็เริ่มมีชื่อเสียงในฐานะ good manager

หลังจากความสำเร็จในการเป็นผู้จัดการแล้ว พี่ตั้งเป้าต่อไปยังไง

ตอนนั้นพี่อยู่ Winchell’s สาขา 1104 เขาก็ถามกันว่าที่สาขา 1104 ผู้จัดการคือใครถึงส่งคนมาเป็นผู้จัดการสาขาอื่นๆ ได้เยอะ พี่ก็ถูกทาบทามให้ไปเป็นอาจารย์ใน training school สำหรับคนจะขึ้นไปเป็นผู้จัดการ พี่จะสอนเปเปอร์เวิร์ก สอนวิธีทำโดนัท สอนวิธีดูแลร้าน แล้วพี่ก็จะเป็นคนบอกเองว่า คนที่มาเรียนพร้อมทำงานแล้วสำหรับร้านใหญ่หรือร้านเล็กมันขึ้นอยู่ที่พี่

จนวันหนึ่ง headquarter อยากให้พี่ไปอยู่ในห้องแล็บ ใส่ชุดเหมือนหมอ เข้าไปทำโดนัทอย่างเดียว ตอนนั้นเป็นช่วงที่ทะเยอทะยาน พี่อยากดีขึ้นๆ ก็เลยถามเขาตรงๆ ว่า ถ้าหลังจากนี้แล้วจะเป็นอะไรที่สูงขึ้นไปได้อีก เขาก็บอกว่าตันแล้ว จบแค่นี้แหละ พอได้รู้หลังจากนั้นพี่กลับไปบอกแฟนเลยว่าจะกลับเมืองไทย พอออกจากงานก็แสดงว่าเราอยู่แบบผิดกฎหมายแล้ว เพราะตอนนั้นมันเริ่มมีกฎหมายนิรโทษกรรมออกมา สำหรับคนที่อยู่ผิดกฎหมายเขาก็ให้ไปติดต่อ แต่พี่ไม่ไปติดต่อ ตัดสินใจกลับเลย

 

แล้วจากเป็นคนทำโดนัทกลายมาเป็นนักแต่งเพลงได้ยังไง

ช่วงก่อนจะกลับจากอเมริกาวันดีคืนดีก็มีโอกาสได้เจอพี่ชาย (สมชาย ขำเลิศกุล) ซึ่งสมัยก่อนเป็นมือโซโลวง Fantasy ในวงการดนตรีบ้านเราจะรู้ว่าพี่ชายไปเล่นดนตรีอยู่อเมริกา ได้ยินชื่อเขามานานแล้ว พี่ชายก็บอกว่าแกลองแต่งเพลงไทย แล้วจะเอามาทำเพลง ออกเทปที่เมืองไทย แกเลยเปิดให้พี่ฟัง เป็นเพลงไทยนะแต่ทำนองเหมือนเพลงฝรั่งเลย arrangement อะไรดีทุกอย่าง เอาเข้าจริงพี่ไม่ได้มีความรู้เรื่องการแต่งเพลงอะไรเลย แกก็อยากให้พี่คอมเมนต์ว่าเพลงเป็นยังไง 

พี่ก็บอกว่าดนตรีดีนะพี่ ดีมากๆ เลย แต่เนื้อไม่ดี แกก็เลยบอกว่าถ้างั้นเป๋าแต่งให้พี่หน่อยสิ เราก็บอกว่าได้ เดี๋ยวพรุ่งนี้พี่มาเอา ด้วยความที่พี่แต่งเพลงไม่เป็นก็ไม่รู้ไงว่ามันยาก นึกว่าแค่ใส่คำๆ ไปให้ลงโน้ตก็ได้แล้วมั้ง เพลงนั้นเป็นเพลงแรกที่พี่แต่งเลย ชื่อว่า ฉันคอย พี่ชายบอกว่า ดี ลงโน้ตหมด สั้น-ยาวอะไรได้ สุดท้ายตอนกลับมาไทยแกก็เอามาให้เบิร์ดกะฮาร์ท ซึ่งพี่มาฟังวันนี้แล้วพี่อายมากๆ เลย คือมันเชย มันโบราณ ตอนนั้นเพลงไทยเขาไปถึงไหนกันแล้วพี่ก็ไม่ทราบไง พี่ก็ได้แค่นั้นแหละ ห่วงสัมผัสนอก-สัมผัสใน แต่เนื้อไม่ค่อยไปไหนอะ วนๆ เหมือนเพลงสมัยโบราณ

ตอนพี่กลับมาอยู่ไทย ทำงานเป็นผู้จัดการฝ่ายขาย travel agency ขายตั๋วเครื่องบินกับพี่สาว อยู่แถวสุขุมวิทซอย 26 (อารีย์) จำได้ว่าพี่ชายเคยให้เบอร์ไว้ วันหนึ่งคิดยังไงไม่รู้ก็เลยโทรหา เขาถามว่าเป๋าอยู่ไหน ก็บอกว่าผมอยู่อารีย์ ช่วงนั้นแกรมมี่อยู่สุขุมวิทซอย 39 พี่ชายบอกให้ไปหา แกก็พาขึ้นไปหาพี่เต๋อ (เรวัต พุทธินันทน์) แนะนำว่าเราเขียนเพลงได้ พี่เต๋อก็ให้มาลอง

เริ่มต้นพี่ลองทำงานเขียนเพลงวันเสาร์-อาทิตย์ สมัยนั้นก็เขียนแต่เนื้อเพลงยังต้องปรับตัวเยอะมาก เริ่มใหม่ก็ยังงงๆ เพลงที่พี่ฟังตอนนั้นก็ยังเก่าๆ เป็นพวกสุเทพ, ชรินทร์, สวลี เขียนเพลงสมัยนั้นแกรมมี่เขาให้เขียนลงกระดาษ แล้วให้นักแต่งเพลงด้วยกันคอมเมนต์ ก็มีแต่พวกน้องๆ เขาเรียกพี่ว่าน้า เพราะมาเริ่มเกือบ 40 แล้วค่อนข้างแก่กว่าใครๆ 

พวกเขาคอมเมนต์บอกว่า น้า มันไม่ใช่เพลง นี่มันกลอน ได้ยินอย่างนั้นกลับบ้านไปพี่นอนไม่หลับเลย จากที่เคยมั่นใจมากๆ พอไปเจอคอมเมนต์นั้นก็เสียความมั่นใจ พอนัดเจอกันครั้งต่อไปพี่ไม่ส่งเพลงเลย แต่พี่ไปดูว่าเขาทำยังไง แล้วพี่ก็เริ่มศึกษา เริ่มกลับมาฟังเพลงไทยสมัยใหม่ว่าเขาแต่งกันยังไง พอเริ่มเข้าใจ เริ่มมองเห็นว่าต้องทำยังไง ตอนหลังก็ค่อยดีขึ้นมาเรื่อยๆ

ได้ค่าเขียนเนื้อเพลงเพลงแรก 4,000 บาท ก็ยังไม่พอ ตอนนั้นมีลูกแล้วคนหนึ่ง ต้องเลี้ยงลูก และตอนนั้นพี่ก็ยังต้องทำงานขายตั๋วเครื่องบินอยู่ แต่ก็เขียนเพลงไปเรื่อยๆ จนแม่นขึ้น เริ่มดีขึ้น รายได้ก็ดีตาม เพราะนอกจากได้ค่าเพลงแล้วยังได้เปอร์เซ็นต์ด้วย 

สมมติว่าอัลบั้มนี้แต่งไว้ 3 เพลง ได้ 30 สตางค์ก็จริง แต่ถ้าเขาขายได้ล้านตลับเราก็ได้ 300,000 บาท พอเริ่มทำหลายๆ อัลบั้มรายได้ก็ดีขึ้น พี่ก็ลาออกจากงานอื่น ตอนนั้นพี่เป็นผู้จัดการอยู่ 2 ที่ด้วยซ้ำ ก่อนจะออกพี่ก็มาคุยกับแฟน ขอออกมาทำงานเขียนเพลงได้ไหม ตอนนั้นก็ยากเหมือนกันเพราะลูกยังเรียน ต้องมีรายได้ เสี่ยงเหมือนกันนะ แต่คิดว่าลองลุย แล้วก็ผ่านมาได้จนถึงทุกวันนี้ ก็เลี้ยงครอบครัวมาได้ ซึ่งก่อนหน้านี้พี่ไม่เคยเชื่อว่าอาชีพนักแต่งเพลงจะเลี้ยงชีพได้ ต่อให้สมัยก่อนมีอาชีพนักแต่งเพลงก็จริง แต่มันลำบาก แต่พี่ก็ทำงานเขียนเพลงมาจนถึงวันนี้

ที่ผ่านมาการทำงานของพี่จะมี career path มาโดยตลอด สำหรับอาชีพนักแต่งเพลงคิดว่าจะไปสิ้นสุดที่ตรงไหน

ไม่มี คือจนถึงวินาทีนี้ จนถึงตอนนี้ พี่อายุป่านนี้แล้วยังแต่งเพลงอยู่เลย หายากมากเลยนะคนที่อายุอย่างพี่ เกิน 60 แล้วยังแต่งเพลงอยู่

 

ทำไมถึงบอกว่าไม่มีจุดสูงสุดของการเป็นนักแต่งเพลง

สมัยก่อนต้องเข้าค่ายใช่ไหม พอค่ายไม่จ้างแล้วเขาก็เลิก คนอายุเท่าพี่หรือรุ่นพี่ของพี่ออกจากแกรมมี่มาก่อนอายุ 60 ทั้งนั้น พอออกมาแล้วก็ไม่ได้แต่ง เพราะว่าไม่มีค่าย ไม่มีฝ่ายการตลาดมาบอกว่าจะเอาเพลงแบบนั้นแบบนี้ พอไม่มีคนสั่งก็เลยไม่รู้จะแต่งเพลงอะไร แต่ของพี่ไม่ใช่แบบนั้น พี่ก็จะแต่งของพี่ไป 

คนในประเทศไทยที่อายุเกิน 60 แต่ยังแต่งเพลงอยู่ก็คือพี่ตุ่น (พนเทพ สุวรรณะบุณย์) นอกนั้นพี่ไม่เห็นนะ พี่ก็เลยมีความเชื่อว่าถ้าเราเป็นนักแต่งเพลง เราก็แต่งไปเรื่อยๆ ใครเขาจะเกษียณก็เกษียณไป แต่เราไม่เกษียณ มันเหมือนคนทำงานศิลปะ ทำงานจิตรกรรม วาดรูป มันมีเกษียณด้วยเหรอ ถูกไหม พี่รู้สึกว่างานศิลปะมันไม่ต้องเกษียณ ต่อให้ไม่มีคนจ้างเราก็เขียนไป ถ้าเรารักที่จะเป็นนักแต่งเพลงจริงๆ ก็ต้องเขียนได้เรื่อยๆ ไม่ใช่พอไม่มีคนจ้างก็ไม่เขียน ไม่ใช่แบบนั้น

 

แต่งเพลงมานานรู้หรือยังว่าทำเพลงแบบไหนแล้วจะฮิต

เขาก็พยายามหาสูตรสำเร็จกันตลอด ว่าต้องทำยังไงให้เพลงดัง แล้วในที่สุดเวลาก็บอกเองว่าไม่จริง มันไม่มีสูตรสำเร็จหรอก พี่อาจจะเคยแต่งเพลงป๊อปมาก่อน ตั้งสามร้อยกว่าเพลง แม้จะไม่ใช่เพลงดังทั้งหมดแต่ก็พอมีอยู่บ้าง จนถึงวันนี้พี่ก็ยังไม่รู้ว่าจะทำยังไงให้คนชอบ

พี่ควบคุมคนฟังไม่ได้ อย่างเด็กวันนี้ไม่เหมือนสิบปีที่แล้ว แล้วอีก 10 ปีข้างหน้าก็ไม่รู้ว่าพวกเขาคิดอะไร เพราะฉะนั้นวันนี้พี่ก็เลยไม่พยายามที่จะไปรู้ พี่ทำอย่างที่คิดดีกว่า ถ้าเขาชอบเขาก็ชอบ เราก็มีความสุข

การมาร่วมทำวงนั่งเล่นในตอนที่เวลาผ่านมาครึ่งชีวิตแล้ว สิ่งนี้เติมเต็มชีวิตพี่ยังไงบ้าง 

(หัวเราะ) เดิมทีพี่ก็แค่อยากเล่นดนตรี ได้ทำในสิ่งที่รัก ทำกับพรรคพวกที่รัก ได้กิน ได้นอน ได้เมา ได้อยู่ด้วยกัน เป็นสิ่งที่ดี ก็มีความสุขแล้วนะ สิ่งนี้ถือว่าเป็นโชคดีที่ทำได้ ด้วยวัย ด้วยสังขาร ถ้าวันหนึ่งต้องเลิกเพราะทำไม่ไหวก็ต้องเลิก แต่วันนี้ทำได้ก็ต้องทำ การกลับมาทำวงที่เรามีความเข้าใจดนตรีมากขึ้นสิ่งนี้คือ make a living นั่นแหละ ถือว่าเป็นโอกาสดีของพี่

สมัยก่อนเหมือนทำกับข้าวให้เขากิน อยากกินอะไร ชอบอะไร ชอบแบบไหน ทำเอาเงินนั่นแหละ เพราะว่าเจ้านายเขาสั่งมาอย่างนั้น ก็ต้องพยายามศึกษาว่ากลุ่มเป้าหมายที่จะชอบเป็นใคร ดูไลฟ์สไตล์ว่าเป็นยังไง ชอบอะไร เหมือนพยายามทำอาหารไปเสิร์ฟให้ แต่ตอนนี้ที่ทำวงนั่งเล่น พี่ทำกินเองแล้ว เป็นโฮมเมด ใครอยากกินก็มากิน แต่ไม่ชอบก็ไม่เป็นไรไม่ว่ากัน 

พี่อยู่วงนั่งเล่นก็ไม่เห็นต้องเขียนเพลงรักๆ ช้ำๆ เลย พี่ก็แต่งแบบที่เห็น แบบที่คิด วุฒิภาวะขนาดนี้แล้วรับรู้เรื่องอะไรก็ระบายออกมาตามที่คิด ก่อนหน้านี้เขาไม่เชื่อว่าเพลงอย่างวงนั่งเล่นจะมีคนฟัง เพลงของวงนั่งเล่นนี่เขาว่าเป็นเพลง cooperate คือเป็นเพลงเพื่อสิ่งแวดล้อม เพลงเพื่อสังคมอะไรแบบนี้ ไม่มีคนฟังหรอก ไม่มีคนซื้อหรอก ซึ่งพี่ไม่เชื่อ พี่รู้สึกว่าเราไม่มีเพลงแบบนี้ให้เขาฟังมากกว่า ตอนนี้วงนั่งเล่นก็น่าจะเป็นเครื่องพิสูจน์ให้รู้แล้วว่าเราก็อยู่ได้

ยุคสมัยเปลี่ยนไป ยอดไลก์ยอดแชร์มีผลต่อการทำวงดนตรีของพี่บ้างหรือเปล่า

พี่เป็น non-commercial มากๆ คือไม่ได้เอาใจไปคิดพวกนั้นแล้ว เอาใจไปคิดเรื่องอื่นดีกว่า หาคอนเซปต์มาแต่งเพลงดีกว่า ไม่ได้คิดว่าคนจะชอบไหม ขายดีไหม แบบนั้นคิดมาเป็นสิบปีแล้ว เวลาอยู่ค่ายมันต้องทำเพราะเรากินเงินเดือนเขา เบื่อมากๆ เลย ตอนนี้อายุขนาดนี้แล้วต้องมานั่งเอาใจคนอื่นอีกเหรอ ขอมีความสุขบ้าง เล่นดนตรีแบบที่พี่ก็มีความสุข คนฟังก็มีความสุข แล้วเรามีความสุขไปด้วยกันอย่างนี้ดีกว่า สมัยก่อนมีเงินมาจ้างเราก็รับงาน แต่เดี๋ยวนี้ไม่ใช่ ต่อให้มีปัญญาจ้าง แต่ไม่อยากเล่นให้ก็ไม่เล่น วันนี้จะเลือกมากขึ้น พี่เล่นฟรีมากกว่าเล่นได้ตังค์อีก

จะเห็นว่าวงนั่งเล่นไม่ได้ไปทุกรายการ ตอนนี้ขอเลือกบ้าง ไม่ได้รู้สึกว่าหยิ่งยโสหรืออะไร มันเลยจุดนั้นไปแล้ว อายุขนาดนี้แล้วขอทำในสิ่งที่อยากทำ เล่นดนตรีเพื่อความสุข ไม่ได้เล่นเพื่อที่จะให้ได้ตังค์ พี่อยู่ในวัยที่คนอายุเท่ากันเขาก็เกษียณกันแล้ว แต่พี่ไม่อยากอยู่บ้านเลี้ยงหลาน ไม่อยากปลูกต้นไม้ เลี้ยงนกเขา อะไรอย่างนั้น เราทำสิ่งนี้ได้เราก็ทำไป 

 

ดูเหมือนชีวิตมีแต่เรื่องประสบความสำเร็จ แล้วที่ล้มเหลวมีบ้างไหม

จริงๆ แล้วความเป็นตัวพี่ ไม่ว่าจะทำอะไรจะทำให้ถึงที่สุด พยายามทำให้ดีที่สุด มีอยู่เรื่องสองเรื่องที่รู้สึกว่าพี่เฟล คือหนึ่ง เรื่องเรียน เพราะไม่ได้ไปเรียน ไม่มีโอกาสได้ไปเรียนเลย ต้องเดินสายไปต่างจังหวัดอะไรบ้าง กลับก็ดึก บาร์เลิกตี 1-2 จนไม่ได้ไปเรียน

หรือเรื่องดนตรีเองก็เถอะ ก็ไม่ได้สำเร็จ ได้เรื่องประมาณหนึ่งแต่ยังไม่ถึงจุดที่รู้สึกว่าสำเร็จ เพราะฉะนั้นจะมี 2 เรื่องนี้ที่ค้างคาใจ ตอนอยู่เมืองนอกก็ทำงานเก็บเงิน แล้วสุดท้ายพี่ก็ไปเรียน hotel management ที่ American College ก็เรียนจบ จบออกมาแบบโอเคด้วย ตอนแรกก็นึกว่าจะกลับไทยแล้วมาทำงานเกี่ยวกับโรงแรม ไปเป็น F&B manager ที่ภูเก็ตไปคุยกับ GM ก็โอเคกันหมดแล้ว ทั้งเรื่องเงินเดือน แต่เขาก็บอกเราว่าถ้าจะทำงาน F&B ต้องโกนหนวดโกนเครา เพราะมันต้องสะอาด  

พี่กลับมาก็คิดมาก ตอนแรกตอบตกลงไปแล้วด้วยนะ มาคิดมากว่าจริงๆ จะโกนก็ได้ แต่ไม่ใช่มาสั่งกัน จากนั้นก็เลยตัดสินใจไม่เอา จนถึงวันนี้ที่เรียนมาก็ยังไม่ได้ใช้ แต่จริงๆ แล้ว วันนี้ วินาทีนี้ พี่รู้ว่าที่เราเรียนตั้งแต่ประถมถึงมัธยมนั่นเป็นความรู้พื้นฐาน ตอนเรียนอุดมศึกษาถึงจะแยกอาชีพ 

แล้วเราก็เรียนกันแทบตายเพราะอยากมีชีวิตที่ดี ประสบความสำเร็จในชีวิต ดูแลครอบครัวได้ มีเกียรติมีศักดิ์ศรี make a living ได้ ทำในสิ่งที่เราชอบ สิ่งที่เรารัก แต่เราต้องไปติดอยู่กับกระดาษแผ่นนี้ อย่างพี่เรียนจบมาก็ไม่ได้ใช้ แล้วมันมีคนไปติดอยู่กับกระดาษแผ่นนี้มหาศาลเลยนะ คนจำนวนมหาศาล เสียเวลาไปอยู่ในคอลเลจ อยู่ในระบบการศึกษา จริงๆ แล้วการเรียนรู้มันอยู่ได้ทุกที่ ไม่ได้อยู่เฉพาะในรั้วมหาวิทยาลัยหรอก วงนั่งเล่นทั้งหมดนี่ก็จบปริญญากันทั้งนั้น แต่ไม่ได้ใช้เลย 

ระหว่างทำสิ่งเดียวให้เก่งกับรอบรู้หลายอย่างพี่เลือกแบบไหน

พี่ว่าไม่ว่ายุคไหนก็อยู่ได้ทั้งสองฝั่ง จะเป็นคนรอบรู้ก็ได้ ชอบศึกษา ชอบอ่าน แต่รู้ไม่ลึก รู้ประมาณหนึ่ง คือรู้มากกว่าคนอื่น แต่กับอีกพวกหนึ่งที่รู้แจ้งแทงตลอด รู้อย่างเดียว แต่รู้ลึก จะเป็นแบบไหนถ้า make a living ได้ ก็มีสิทธิที่จะประสบความสำเร็จได้เหมือนกัน

แต่พี่รู้สึกว่ามาถึงโลกสมัยใหม่มันเป็นโลกของ specialist เป็นโลกของ content provider คือมีคนอยู่ 2 พวกที่จะสำเร็จในวันนี้ พวกหนึ่งคือเจ้าของสนามที่เป็นเจ้าของแพลตฟอร์ม แล้วก็ให้คนนำคอนเทนต์มาใส่ อีกพวกหนึ่งก็คือเจ้าของคอนเทนต์ที่จะเข้ามาเล่นสนามนี้ได้ นอกนั้นก็เป็นผู้เสพ ผู้รับสาร อะไรก็ว่าไป พี่เชื่อแบบนั้น คือยุคนี้เป็นโลกของคอนเทนต์ ถ้าเราไม่มีคอนเทนต์ ไม่มีอะไรเป็นของเรา ก็จะเป็นแค่ผู้บริโภคไปอย่างนั้น 

 

เหมือนพี่เรียนรู้ชีวิตคนอื่นอยู่เสมอ

เรียน ถึงทุกวันนี้ก็ยังเรียน

 

เรียนยังไงบ้าง 

แรกๆ ก็ฟังพ่อแม่ ครูบาอาจารย์ แต่พอวันหนึ่งที่อายุมากขนาดนี้แล้วพี่เคยถามตัวเองว่า เราจะฟังใคร ใครจะเป็นอาจารย์ของเราได้นะ พระพุทธเจ้าก็ไม่อยู่แล้ว คิดอยู่หลายวันว่าต่อไปนี้จะดูใครเป็นแบบอย่างของเรา ในที่สุดพี่คิดได้ว่าสิ่งนั้นคือธรรมชาติ พี่ว่าธรรมชาตินี่แหละเป็นอาจารย์ใหญ่ พอพี่คิดได้เช่นนี้โล่งเลย สบายใจ มีอะไรเราก็ปรึกษากันได้ตลอด (มองไปรอบๆ) นี่แหละอาจารย์ใหญ่ของเรา

 

ทำไมจึงเข้าใจได้แบบที่ว่า

เคยผิด เคยถูก เคยผิดหวัง เคยสมหวัง เคยทำอะไรต่ออะไรมามากมาย ค่อยๆ ทบทวน ค่อยๆ ลองผิดลองถูกจนหาสิ่งที่เข้าใจ

เคยผิดหวังกับเรื่องอะไร

อาจจะเคยผิดหวังในประเทศชาติ ผิดหวังผู้หลักผู้ใหญ่ในแผ่นดิน คนที่วางกฎเกณฑ์ วางกฎหมายอะไรต่างๆ ทำไมผู้ใหญ่บ้านเราถึงเป็นแบบนี้ มีอะไรหลายๆ อย่างที่รู้สึกผิดหวัง แต่พอนานๆ เข้าก็รู้สึกว่ามันไม่ได้ให้อะไร ยิ่งเราคิดลบ คิดอะไรแย่ๆ ก็ไม่ได้ทำให้ชีวิตดีขึ้น จากประสบการณ์จึงทำให้รู้ว่า ก็แค่เข้าใจมันซะเลยดีกว่า เข้าใจสิ่งที่เกิดขึ้น ว่าเป็นอย่างนั้นเพราะอะไร สุดท้ายทุกอย่างขึ้นอยู่ที่ใจ

 

ชีวิตนอกจากตัวเรากำหนดมีสิ่งอื่นมากำหนดด้วยไหม

สำหรับพี่มันมีหลายระดับ ถ้าเรายังอยู่ในขั้นแรกจะยังมีเรื่องโชคชะตาที่มากำหนดเรา แต่ถ้าเลยไปอีกขั้นได้พรหมก็มาลิขิตเราไม่ได้แล้ว 

พี่เป็นคนเขียนเพลง ชีวิตลิขิตเอง (ขับร้องโดยเบิร์ด ธงไชย) เพราะพี่คิดอย่างนั้นจริงๆ (ท่องเนื้อเพลง) ‘ก่อนเคยเชื่อในลิขิตฟ้าดิน ปล่อยชีวิตไปตามโชคชะตา แต่ฝันไม่เคยถึงฝั่ง ผิดหวังในใจเรื่อยมา เพราะฟ้าไม่มีหัวใจ จะเลวหรือดีมันอยู่ที่คน จะดีหรือจนมันอยู่ที่ใจ’ ถูกไหม คนเราจะรวยจะจนมันอยู่ที่ใจนะ บางทีคนเรามีน้อยก็รวยได้นะ แต่บางคนมีเท่าไหร่ก็ไม่พอ (ท่องเนื้อเพลง) ‘ดินฟ้าไม่เคยลิขิต ชีวิตจะเป็นเช่นไร อย่าเลยอย่าไปถามฟ้า’ คือไม่ต้องไปถาม ถ้าคิดได้แล้วก็ไม่มีใครมาลิขิตหรอก 

 

คำว่าจังหวะชีวิตมีผลอะไรกับพี่ไหม 

เรื่องจังหวะชีวิตสมัยก่อนพี่ก็เชื่อ เมื่อก่อนมีเพลง จังหวะชีวิต แม่พี่ร้องให้ฟัง (ท่องเนื้อเพลง) ‘ชีพคือชีวิต ชีวิตก็คืองาน กิจการจะดีต้องอาศัยจังหวะดีช่วยกัน ชีวิตระวัง จังหวะสำคัญ ชีวิตและเพลงก็เปรียบเหมือนกัน หากใครเดินตามทางแนวนั้นเป็นสุขเอย’

อย่างที่บอกเรายังเชื่อเรื่องโชคชะตา เรื่องจังหวะอย่างแน่นอน จนถึงวันนี้พี่ก็ยังคิดว่ามีอยู่นะ อย่างสมมติว่าพี่ทำเพลงอยู่ในวงการบางทีมันมีเรื่องจังหวะเหมือนกัน เราเชื่อว่าเพลงดีต้องเนื้อดี ทำนองดี ร้องดี โปรโมตดี และต่อให้มีครบหมดเลยนะ แต่จังหวะไม่ดี เราไปปล่อยเพลงตรงช่วงที่เกิดเหตุการณ์ทางการเมือง ความสนใจของคนในชาติไปสนใจตรงนั้นหมดเลย อันนี้จังหวะไม่ดีซึ่งก็เป็นไปได้ในบางเรื่อง จังหวะก็ยังมีผลอยู่ในการชี้เป็นชี้ตาย แต่จะไม่ใช่ทั้งหมดแล้ว

ที่เคยพูดว่า ‘การใช้ชีวิตคือศิลปะ’ ประโยคนี้มีความหมายยังไง

การใช้ชีวิตคือศิลปะ ทุกอย่างมีศิลปะของมัน ศิลปะในการดื่ม ศิลปะในการพูด ศิลปะในการเดิน ขับรถก็ต้องมีศิลปะ ถ้าขับรถไม่มีศิลปะ เบี่ยงซ้ายเบี่ยงขวาไปโน่นไปนี่ ก็จะมีอุบัติเหตุ คนที่มีศิลปะจะเป็นอีกแบบหนึ่ง ทำยังไงให้ดูดี ให้ถูก ให้ควร ทุกอย่างมีศิลปะหมด ถ้าจะมองให้ดี ศิลปะคือความพอดี ความลงตัว ความสวยงาม 

 

เพราะศิลปะไม่ใช่แค่การวาดภาพ

ใช่ คืออะไรก็ได้ที่ทำให้ใจกระเพื่อม เคยได้ยินเรื่องเล่าที่มีลูกศิษย์ไปถามอาจารย์ศิลปะว่า ผมไม่มีหัวศิลปะเลย ผมดูภาพอะไรก็ไม่สวยเลย อาจารย์ตอบกลับว่านั่นแหละ แสดงว่าเธอมีศิลปะแล้ว เพราะว่าสิ่งนั้นทำให้เธอรู้สึก ไม่ว่าจะชอบหรือไม่ชอบ แสดงว่ารูปนั้นมีผลต่อจิตใจใช่ไหม แสดงว่าก็ appreciate กับสิ่งนั้น เพียงแต่เป็นไปในทางลบ

 

ในวัยนี้มีความสุขกับการใช้ชีวิตแค่ไหน

พี่มีความสุขเท่าที่คนอายุ 66 ควรจะมีได้

 

เป็นความสุขแบบไหน

อยู่กับปัจจุบัน ยิ่งแก่ยิ่งอยู่กับปัจจุบันมาก อดีตที่เคยผ่านมาไม่ใช่พี่นะ แค่พี่เคยเป็นเท่านั้น ตอนนี้ไม่ใช่แล้ว 

 

แล้วเรื่องทุกข์ตอนนี้มีบ้างไหม

พี่ยังไม่บรรลุ ต้องมีทุกข์อยู่ตลอดเวลา ต้องหนาว ต้องร้อน ต้องหิว ต้องอยาก ยังมีกิเลสอยู่ ก็ทุกข์ไปเรื่อยๆ เพียงแต่ตอนนี้อาจจะเบาบางลงไป มาถึงจุดที่เริ่ม settle down แล้ว ความอยากเริ่มลดลง เรามีประสบการณ์มากขึ้นจะรู้ว่าอยากได้แค่ไหน พี่รู้สึกว่าถ้าพยายามเต็มที่แล้วได้แค่ไหนก็แค่นั้น 

 

เมื่อต้องพบเจอเรื่องไม่ดีสามารถเพิกเฉยกับมัน ให้เวลาเป็นตัวจัดการได้ไหม

ทำได้นะก็เข้าใจมันซะ รู้ว่าต้องเป็นอย่างนี้ เดี๋ยวมันก็ผ่านพ้น ไม่ว่าเราจะสุขหรือทุกข์ อยู่กับเราสักพักเดี๋ยวก็ไป ทุกอย่างก็เป็นอย่างนั้น อย่างชีวิตพี่ผ่านสุขมากี่ที ผ่านทุกข์มากี่ครั้ง นับไม่ถ้วน จนถึงวันนี้ก็หายไปหมดแล้ว และแน่นอนว่าเราก็ต้องเข้าใจธรรมชาติของมันด้วย เกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป อย่างที่พระพุทธเจ้าบอก เป็นเช่นนั้นจริงๆ

เวลาใครมาขอความเห็น มาขอคำปรึกษา พี่จะบอกเท่าที่รู้ ว่าอะไรเป็นอะไร จะบอกธรรมชาติของมันให้ฟังแล้วก็ให้เขาไปตัดสินใจเอาเอง แต่จะไม่สั่งว่าต้องเป็นอย่างนั้น ต้องทำอย่างนี้ จะบอกให้หาสิ่งที่รักสิ่งที่ชอบให้เจอ ยิ่งเจอเร็วยิ่งได้เปรียบ มุ่งไปเลย หนึ่ง ทำสิ่งที่รักที่ชอบ สอง make a living สาม มีเกียรติมีศักดิ์ศรีพอสมควร ตอบสามเรื่องนี้ให้ได้

มาถึงท้ายปีมีผลอะไรกับความรู้สึกของพี่บ้างไหม

น้อยกว่าสมัยเด็กมากๆ เพราะเคยผ่านมาหลายทีแล้วไง จนรู้สึกว่าชีวิตก็ไม่ได้ต่างอะไร ถึงวันเกิดพี่ก็รู้สึกไม่ได้พิเศษอะไรหรอก เป็นแค่อีกวัน พี่แทบไม่เคยเลี้ยงวันเกิดเลย ไม่ได้พิเศษ ไม่ใช่ว่าวันเกิดต้องทำบุญ ต้องปาร์ตี้ ต้องกินเหล้ากัน ผ่านสิ่งนี้มาหลายปีแล้วและไม่ได้ทำให้ชีวิตเราดีขึ้นเลย

 

ย้อนมองกลับไปพี่ชอบชีวิตในวัยหนุ่มของตัวเองไหม

บางอย่างก็ชอบ บางอย่างก็ไม่ชอบ

 

ถ้าย้อนกลับไปในวัยหนุ่มได้ อยากกลับไปไหม

(ตอบทันที) ถ้ากลับไปเป็นวัยหนุ่มสาวแล้วคิดได้เท่านี้ เอา เพราะวันนี้บางอย่างพี่คิดได้แต่พี่ทำไม่ได้แล้ว

สุดท้ายพี่ก็ต้องเข้าใจมัน แล้วก็ทำเท่าที่ทำได้ มีความสุขกับมัน แต่ถ้าพี่หวังจะให้แข็งแรงเท่าตอนวัยหนุ่มมันก็เป็นไปไม่ได้ เป็นแค่ความคิดโง่ๆ ดังนั้นพี่ก็ต้องเข้าใจว่าอายุเท่านี้ ทำอะไรได้ดีที่สุด

 

มีอะไรในตอนนี้ที่ยังอยากจะทำให้สำเร็จไหม

ทุกเรื่อง ทุกอย่างแหละ สมัยก่อนตอนเด็กๆ พี่คิดว่าชีวิตมีเพียงฝันเดียว แต่วันนี้พี่รู้แล้วว่าความฝันมีได้ไม่รู้จบ วันนี้พี่ก็ฝันอีก ฝันเหมือนคนอายุ 66 เดี๋ยวตอนที่พี่อายุ 67 พี่ก็จะฝันเหมือนคนอายุ 67 ตอนพี่ 68 พี่ก็จะฝันเหมือนคนอายุ 68 เพราะฉะนั้นก็คงฝันกันได้เรื่อยๆ เปลี่ยนไปตามแต่ละวัย

 

แล้ววันนี้ฝันอะไร

ฝันแค่ว่าจะได้มาเจอ มาสัมภาษณ์ให้เรียบร้อย ไม่เรียกว่าฝันด้วยซ้ำ เรียกว่าอะไรก็ไม่รู้ เพราะอยู่กับปัจจุบัน อย่างพี่ขับรถมาวันนี้คิดแค่ว่าทำยังไงให้เดินทางมาโดยปลอดภัย ไม่ให้มีอุบัติเหตุ ให้ถึงโดยสวัสดิภาพ ให้ตรงเวลา

พี่ไม่คิดถึงอนาคต ไม่คิดถึงวันข้างหน้า ไม่คิดว่าอีกสิบปีจะต้องเป็นอย่างนั้นอย่างนี้ ถ้าพี่เดินอยู่ก็จะโฟกัสกับการเดิน เดินยังไงให้มันตรง เดินยังไงไม่ให้สะดุด จะต้องรวยเป็นเศรษฐี พี่ไม่ได้คิดอะไรอย่างนั้นมานานมากแล้ว คนอื่นอาจจะมองว่าไอ้นี่มึงไม่มีความฝันหรือยังไง ซึ่งเราอาจจะไม่มีก็ได้ พี่ขออยู่ในโลกความเป็นจริงนี่แหละ

AUTHOR

PHOTOGRAPHER

ชนพัฒน์ เศรษฐโสรัถ

ช่างภาพนิตยสาร a day ที่เพิ่งมีพ็อกเก็ตบุ๊กเล่มใหม่ชื่อ view • finder ออกไปเจอบอลติก ซื้อสิ ไปซื้อ เฮ่!

Video Creator

ชาคริต นิลศาสตร์

อดีตตากล้องนิตยสาร HAMBURGER /ค้นพบว่าตัวเองมีความสุขและสนุกทุกครั้งที่ได้ทำงานภาพนิ่งและภาพเคลื่อนไหว

นวภัทร์ นาวาเจริญ

วีดีโอครีเอเตอร์คนที่ชอบเดินจ่ายตลาด

อภิวัฒน์ ทองเภ้า

เป็นลูกชายคนเดียวของพ่อแม่, เป็นศิษย์เก่านิเทศศาสตร์ ม.มหาสารคาม แต่เป็นคนอุดรธานี, เป็นวิดีโอครีเอเตอร์ ประสบการณ์ 2 ปี, เป็นคนเบื้องหลังงานวิดีโอของ a day และเป็นคนปลุกปั้นสารคดี a doc, เป็นคนนอนไม่เคยพอ, เป็นหนึ่ง คือ เป็นหนึ่งเดียวกับสรรพสิ่ง สรรพสิ่ง คือ ไม่เป็นอะไรเลย, ตอนนี้เป็นหนี้ กยศ. และรับจ้างทั่วไป [email protected]