“ความฝันมันน่ากลัวสำหรับคนใจบางใจอ่อน คุณเป็นคนนั้นหรือเปล่าล่ะ?”– บอย Lomosonic

Highlights

  • เป็นเวลา 14 ปีแล้วที่บอย - อริย์ธัช พลตาล หรือ ‘บอย โลโมโซนิก’ ทำอาชีพนักดนตรี จากก้าวแรกที่เต็มไปด้วยความขรุขระแต่ทุกวันนี้เขาและเพื่อนๆ กลายเป็นหนึ่งในกลุ่มศิลปินที่ได้รับการยอมรับทั่วประเทศ
  • ตลอดเส้นทางที่ผ่านมา บอยลงความเห็นให้เราฟังว่าการทำตวามความฝันนั้นสำคัญ แต่ความฝันก็น่ากลัวสำหรับคนที่ไม่จริงจังต่อมัน
  • สุดท้ายบอยเชื่อว่าคำตอบทั้งหมดย้อนไปที่การทำงานหนัก ที่สำคัญคือเขาเชื่อว่าการทำงานหนักจะทำให้ตัวเขากลายเป็นคนที่น่าจดจำเพื่อวันหนึ่งเขาจะได้บอกเล่าเรื่องราวที่มีประโยชน์ต่อไปในภายภาคหน้า
 

บอย Lomosonic

‘เดือด’

ถ้าจะมีคำจำกัดความอะไรสักอย่างที่นิยามชายหนุ่มตรงหน้า ผมนึกถึงคำสั้นๆ คำนี้

เดือดยังไง? 

วันวานวัยเด็ก–การละเล่นของเขาคือการวิ่งไปตามป่าเขา การฟังเพลง และการเล่นระเบิดในเหมือง 

ชีวิตช่วงวัยรุ่น–การเป็นนักร้องระดับโลกคือความฝันแรกและความฝันเดียว แม้เขาเป็นเพียงเด็กชายในอำเภอแม่เมาะ จังหวัดลำปางก็ตาม

ขวบปีมหาวิทยาลัย–เขาเลือกเรียนสถาปัตย์เพราะอยากได้ที่เรียนเร็วๆ เหตุผลก็ไม่ได้มีอะไรมากไปกว่าเพื่อมีเวลาว่างมาเล่นดนตรีเพิ่ม แม้เขาจะเรียนได้ดีขนาดว่ามีการงานมารอตรงหน้าหลังเรียนจบ แต่เขาก็เลือกหักดิบความคาดหวังจากพ่อแม่และตั้งมั่นเป็นนักดนตรีอย่างจริงจังตั้งแต่ตอนนั้นเป็นต้นมา

วันที่ความฝันยังไม่สำเร็จ–ความดื้อรั้นพาเขามาอยู่ในจุดที่ทั้งเนื้อทั้งตัวเหลือเงินอยู่ 6 บาท–5 บาทสำหรับบะหมึ่งกึ่งสำเร็จรูป และ 1 บาทสำหรับน้ำร้อน แต่เขาก็ยังคงยอมเสี่ยงเรื่อยมาโดยที่ไม่รู้เลยว่าชีวิตจะไปจบลงที่ตรงไหน

วันที่ความฝันเริ่มผลิบาน–เขาและเพื่อนพัฒนาตัวเองจนกลายเป็นวงดนตรีที่ขึ้นชื่อว่าแสดงสดได้มีพลังมากที่สุดในประเทศไทย กริยาวาจาบนเวทีแบบ ‘พี่ถึงน้อง’ กลายเป็นเอกลักษณ์ที่สร้างอารมณ์ร่วมให้คนดูถึงขีดสุด ภาษาและอวัจนภาษาในตัวเขากลายเป็นลายเซ็นที่มีทั้งคนรักและคนส่ายหน้า

ทุกวันนี้–ไม่ว่าความฝันจะออกดอกออกผลไปแล้วมากขนาดไหน เขายังคงจริงจังกับมันเหมือนกับวันแรก หลักฐานคือการทำงานหนักผิดมนุษย์มนา การซ้อมร้องเพลง 6 ชั่วโมง ออกกำลังกาย 3 ชั่วโมงยังคงเป็นกิจวัตรประจำวันที่แทบไม่ขาดตกบกพร่องของเขาตลอดหลายปีที่ผ่านมา

นี่คือเรื่องราวคร่าวๆ ของชายหนุ่มที่นั่งอยู่ตรงหน้า และยังเป็นเรื่องราวที่ผมอยากเปิดบทสนทนาลงลึกในวาระคอนเสิร์ต HALL OF FAN : SUNDAY EVENING CONCERT : LOMOSONIC HOME #เป็นวัยรุ่นไม่มีบ้านให้กลับ ที่จะมีขึ้นในวันที่ 22 ธันวาคมนี้ 

นี่คือบทสนทนา (แบบเดือดๆ) อันเต็มเปี่ยมไปด้วยพลังของเขาแม้จะเดินทางในสายดนตรีมา 14 ปีแล้วก็ตาม

เพราะนี่คือ บอย–อริย์ธัช พลตาล

หรือที่ทุกคนรู้จักเขาในชื่อ บอย LOMOSONIC

บอย Lomosonic

เวลามีคอนเสิร์ตแต่ละทีคุณคิดถึงอะไรบ้าง

บอย Lomosonic ทุกอย่างเลย แก่นของคอนเสิร์ตคือต้องมีวาระที่เกิดขึ้นก่อน พอมีวาระแล้ว เราต้องมาคิดต่อว่าในคอนเสิร์ตครั้งนี้เราอยากบอกอะไรคนดู คอนเซปต์ในการบอกของเราคืออะไร สิ่งนี้เป็นเหมือนแกนกลาง ซึ่งแต่ละที่ก็จะไม่เหมือนกัน

 

ไม่เหมือนกันยังไง

ยกตัวอย่างว่าเล่นในผับกับเล่นเป็นคอนเสิร์ตใหญ่ เมสเซจที่เราอยากบอกคนดูจะต่างกันเพราะความสามารถในการรับสารของคนจะไม่เท่ากัน เวลาคนมาเที่ยว เขามีจุดประสงค์แบบหนึ่ง ประกอบกับบริบท แอลกอฮอล์ และสถานที่ มันทำให้ภาวะในการรับสารเป็นอีกแบบ แต่อย่างในคอนเสิร์ต คนที่มาเขาจะมีความคาดหวังและบรรยากาศที่ต่างไป มันจะค่อนข้างเปิดกว่า ดังนั้นเมสเซจเราจะเป็นอีกแบบ แต่ไม่ใช่ว่าทำงานเต็มที่ไม่เท่ากันนะ เรายังใส่สุดสองร้อยเปอร์เซ็นต์เสมอไม่ว่าจะงานไหน

บอย Lomosonic

ทำไมการมีเมสเซจในการเล่นสดแต่ละครั้งถึงเป็นเรื่องสำคัญ

ผมรู้สึกว่าการเล่นดนตรีแต่ละครั้ง เหมือนเรามีอะไรจะไปบอกเขา คนดูจะสัมผัสได้ว่าเราต้องการพูดอะไร ดังนั้นถ้าเราไปโดยไม่มีอะไรในหัว มันจะดูคล้ายไม่มีจิตวิญญาณ เหมือนเราแค่เอาซาวนด์ไปถม เอาวิชวลไปถม ตลกโปกฮา เฮฮากลับบ้าน จบ

ดังนั้นโดยส่วนตัว เราจะถามตัวเองเสมอว่าจะทิ้งอะไรไว้ให้คนดูได้บ้าง เราจะช่วยกันดีไซน์ให้ออกมาเป็นกราฟอารมณ์ คล้ายๆ การดูหนัง คอนเสิร์ตของโลโมโซนิกเลยจะมีทั้งช่วงเอื่อย ช่วงเรียกร้องความสนใจ หรือแม้กระทั่งช่วงอันตรายเพื่อให้คนดูอยากติดตาม ซึ่งมันค่อนข้างเป็นอะไรที่ต้องใช้วิจารณญาณในระดับหนึ่ง

 

คำว่าวิจารณญานก็แปลว่ามีทั้งคนที่ชอบและไม่ชอบ

ใช่ครับ ผมทราบดี ผมเข้าใจและไม่ว่าอะไร แต่ถ้าเทียบกับผมและวงในวันที่เริ่มต้นตอนอายุ 23 ตอนนั้นโลโมโซนิกไม่ใช่แบบนี้ เราเหมือนคนที่ถือคบเพลิงอยู่บนหอคอยอันสูงใหญ่ อีโก้เรามีเยอะมาก มึงไม่ชอบมึงก็ออกไป ถ้ามึงเกลียดก็ไม่ต้องฟังสิวะ แต่ในเวลานี้มันค่อยๆ เปลี่ยนไปแล้ว

ด้วยวัยที่โตขึ้น ผมว่าสิ่งที่ยากกว่าการพูดแบบนั้นคือการทำให้ทุกคนรักดนตรีของเรา การทำให้เขาชอบ ตอบแทนความเกลียดด้วยความรัก มันยากกว่าการไล่เขาออกไป ที่สำคัญคือสนุกกว่าด้วย เหมือนเราเริ่มค้นพบค่าตรงกลางผ่านการทำงาน อาจมีบางครั้งที่หย่อนบ้าง ตึงบ้าง เจอแรงกระแทกบ้าง หรือการถูกตัดสินจากคนอื่นบ้าง แต่สิ่งเหล่านี้ก็ทำให้เรามีเมสเซจมากขึ้น วงโตขึ้น ผมโตขึ้น

 

รู้สึกอย่างไรกับที่บางคนพูดว่า ‘ถ้าเป็นไปได้ ควรดูโลโมโซนิกเล่นสดสักครั้งในชีวิต’

โห ผมว่าไม่ใช่แค่โลโมโซนิกหรอกครับ ในชีวิตหนึ่งถ้าคุณชอบวงดนตรีที่คุณร้องเพลงเขาได้ทุกเพลง ผมแนะนำให้เอาตัวเองไปอยู่ที่ตรงนั้นดู ไปลองฟังสิ่งที่เขาอยากบอกกับคุณ

บอย Lomosonic

ถ้าย้อนกลับไปยังก้าวแรก คุณเห็นภาพตัวเองมายืนตรงจุดนี้ไหม

ถ้าคิดด้วยการเอาเด็กต่างจังหวัดคนหนึ่งซึ่งอยู่อำเภอห่างไกล เหมือนเมืองฮอว์กินส์ใน Stranger Things เป็นที่ตั้ง มันไม่มีทางมองเห็นเเลยครับว่าตัวเองจะมาไกลขนาดนี้

ตอนนั้นความคิดในหัวผมเป็นชุดความคิดมาตรฐาน เรามีแค่ภาพฝันที่จะเป็นร็อกสตาร์ เป็น Michael Jackson เป็นหิน เหล็ก ไฟ แต่ถ้าถามว่าอะไรที่ทำให้มาถึงตรงนี้ได้ ผมว่าพื้นฐานคือความใฝ่รู้ ความดื้อ ความทะเยอทะยาน ความโชคดี และความทู่ของตัวเอง ผมไม่ใช่คนคมอะไรเลย จริงๆ มีดในตัวผมทู่มาก แต่ผมแทงแรงเท่านั้นเอง

เอาจริงอาจมีคนพยายามมากกว่าผมแต่ไม่ได้มาอยู่ตรงนี้ก็เยอะ ดังนั้นมันประกอบด้วยปัจจัยหลายอย่าง ซึ่งถ้าถอดชุดความคิดออกมา จะเป็นเพราะกรรมหรือเปล่า ผมไม่แน่ใจเหมือนกัน มันคงเป็นหลายๆ อย่างประกอบกัน แม้แต่อะไรเล็กน้อยอย่างการอ่านหรือการออกไปใช้ชีวิต ซึ่งถ้าให้ย้อนกลับไปบอกตัวเองในอดีตตอนนั้นได้ ผมคงบอกว่ามึงถูกต้องแล้ว มึงแม่งถูกสัดๆ เป็นสิ่งที่มึงเป็นนั่นแหละ ไปต่อเลย ผมไม่ได้รู้สึกอยากกลับไปแก้ไขอะไร ถึงแม้ผมจะเป็นเด็กคนหนึ่งที่เคยวิ่งเล่นซนหลังบ้าน เล่นระเบิดท่ีเขาเอามาทิ้งไว้ในเหมือง เล่นจนเลือดท่วม มันก็สร้างประสบการณ์ให้ผมเป็นผมแบบทุกวันนี้ได้

 

การเป็นเด็กต่างจังหวัดที่บอกคนอื่นว่าความฝันของตัวเองคือการเป็นนักร้องมันเป็นยังไง

พ่อแม่บอกให้ไปร้องลูงทุ่ง (หัวเราะ) เขาซัพพอร์ตนะ แต่แค่มันผิดทาง ผมต้องไปร้องเพลงมนต์สิทธิ์ คำสร้อย ประกวดอยู่พักหนึ่ง มันแย่มาก ข้างในผมเหมือนจะระเบิด มันเลยเป็นสเตปต่อมาว่าทำไมผมถึงเปลี่ยนไปตอบคนอื่นว่าอยากเป็นหมอ เพราะผมอยากซ่อนความฝันเดียวของตัวเองเอาไว้คือการเป็นนักร้อง

บอย Lomosonic

อะไรเหล่านี้ไม่ได้ทำให้คุณอยากเป็นนักร้องน้อยลงเหรอ

ไม่เลย มากขึ้นด้วยซ้ำ ยิ่งพอได้ฟังเพลงใหม่ๆ ที่เพื่อนแนะนำอย่าง Kurenai ของ X-Japan มันเปิดโลกมาก โห โลกแม่งมีดนตรีที่หนักขนาดนี้ด้วยเหรอวะ ทำไมเพลงถึงเสียงสูงได้ขนาดนี้ ฟังแล้วใจเต้นว่ะ มันถูกจริตมากเหมือนกินอาหารอร่อยๆ จนน้ำตาไหล ใจมันสั่นแบบนี้แสดงว่าใช่แหละ ผมคิดกับตัวเองแบบนั้น

 

ในเมื่อชัดเจนว่าตัวเองชอบอะไร ทำไมถึงไปเรียนสถาปัตยกรรม

ในเวลานั้นมันเหมือนเป็นการตัดช่องน้อยแต่พอตัว มีโควตาสอบเข้ามาที่โรงเรียนพอดี ผมอยากได้ที่เรียนเร็วๆ เพราะอยากเล่นดนตรีจริงจังเลยตัดสินใจสอบ พอสอบติด ตอนอยู่ ม.6 ผมก็เล่นดนตรีอย่างเดียวเลย ซึ่งมันเป็นความโชคดีนะ สิ่งที่เรียนทำให้ผมมีกระบวนการคิด มีมุมมอง มีเหตุผล สิ่งเหล่านี้ย้อนกลับมาในงานดนตรีได้หมด วงเราเป็นวงที่ทำเองได้หมดตั้งแต่คอนเซปต์ วิชวลปก เนื้อเพลง และทำนอง วงเราออกแบบกันเองทุกอย่างเลย 

 

ทำไมถึงอยากรีบเล่นดนตรีจริงจังขนาดนั้น

ผมคิดว่ามันเป็นวัยของฮอร์โมน ตอนนั้นอายุ 18 เราเริ่มอยากค้นหา อยากเจอแรงกระแทก ความอยากมันผลักให้เราไปลองเล่นกลางคืนตั้งแต่ตอนนั้น

 

เป็นอย่างที่คิดไหม

เหมือนจะไม่ได้เล่นด้วยนะ วันแรกที่เราไปออดิชั่นเราเล่นให้เขาวันเดียวแล้วก็เงียบไปเลย ไม่รู้เขาเอาเปรียบเราหรือเปล่า แต่เราเองก็ดันไปเล่นเพลงพวก Street Funk Rollers หรือ Red Hot Chili Peppers ด้วยแหละ (หัวเราะ) ในร้านเขาคงอยากฟังเพลงอีกแบบหนึ่ง แต่ตอนนั้นก็ด้วยความเป็นวัยรุ่น ผมก็คิดว่าสิ่งที่ตัวเองทำมันเจ๋งโดยที่ไม่ได้มองว่าคนดูเขาต้องการอะไร ทั้งที่จริงเราต้องบาลานซ์ระหว่างตัวเรากับคนดู

ตัดภาพมาตอนที่เรียนจบ คุณเป็นคนเดียวในวงที่ไม่ได้ทำอาชีพอื่นไปด้วยในช่วงเริ่มต้น คือเป็นนักร้องอย่างเดียว ทำไมถึงตัดสินใจแบบนั้น

ผมเป็นมนุษย์ที่มีข้อเสียอยู่อย่างหนึ่งซึ่งอาจจะเป็นข้อดีก็ได้ นั่นคือผมโกหกไม่เป็น ถ้าเป็นเรื่องงาน ยิ่งไม่ได้เลย พอโกหก คนอื่นรวมถึงผมเองจะรู้ทันทีว่าไม่มีความสุข และสำหรับตอนนั้น ผมไม่อยากเป็นสถาปนิกเพราะผมรู้ว่าตัวเองไม่มีความสุข และผมก็รู้ว่าตรงไหนที่จะทำให้ผมมีความสุข นั่นคือการเป็นนักร้อง ดังนั้นผมเลือกทางนี้ดีกว่า ต่อให้วันหนึ่งอดตาย ผมก็รู้สึกว่ามันยังมีความสุขอยู่

มีเพลงหนึ่งของโลโมโซนิกที่ชื่อ ถึงเวลา… ที่พูดถึงเรื่องนี้ มันมีท่อนหนึ่งในเพลงที่พูดว่า ฉันถูกสั่งให้ปล่อยมือจากโลกที่เรียกว่าความฝัน คนคนนั้นคือพ่อแม่ผมเอง ช่วงนั้นเขาโทรมาทุกวันว่าให้ทำงานประจำได้แล้ว ไม่งั้นจะไม่ส่งเงินมาให้ (นิ่งคิดนาน) ก็ไม่เป็นไร ผมก็ยังทำต่อไป สุดท้ายจุดหนึ่งทั้งเนื้อทั้งตัวก็เหลือเงินแค่ 6 บาท แต่ก็ยังผ่านมาแล้ว มันลำบากแหละ แต่ก็ไม่ตาย

 

ทำไมตอนนั้นไม่ล้มเลิกไปก่อน

ผมดื้อ

 

แม้จะลำบากก็ไม่มีกระทบกระเทือนสักนิดเลยเหรอ

(นิ่งคิด) ไม่เลย ไม่เลยว่ะ ไม่เคยคิดจะเลิก ทำไมผมต้องเลิกล่ะ ทำไมผมต้องฟังคนอื่น ผมเป็นคนประหลาดมั้ง ผมไม่เคยหมดกำลังใจและไม่เคยต้องการกำลังใจจากใครด้วย อย่างล่าสุดมีคนมาให้ผมอัดคลิปเพื่อให้กำลังใจ ผมก็ปฏิเสธนะ ไม่ว่ะ กำลังใจต้องเกิดจากตัวมึงเองไม่ได้เกิดจากกู เนื้อแท้แล้วกำลังใจต้องเกิดจากใจน่ะ 

บอย Lomosonic

คุณเคยให้สัมภาษณ์ว่าความฝันมันน่ากลัว แต่เท่าที่ฟัง ชีวิตคุณดำเนินไปด้วยความฝันเลยนะ ทำไมมันถึงน่ากลัว

ความฝันน่ากลัวกับคนไม่มีวินัย มันน่ากลัวสำหรับคนใจบางใจอ่อน

ยกตัวอย่างเปรียบเทียบง่ายๆ ถ้าสมมติวันหนึ่งคุณขีดชีวิตว่าต้องวิ่งทุกวัน แต่วันนั้นฝนเสือกตกแล้วคุณไม่ได้ออกไปวิ่ง นี่คือการคัดกรองคนที่มีฝันได้ระดับหนึ่งแล้ว เพราะถ้าฝัน ต่อให้พายุเข้ายังไง คุณก็ต้องออกไป ดังนั้นคุณต้องถามตัวเองว่าเป็นคนนั้นหรือเปล่า หรือเป็นแค่คนที่เลิกวิ่งตั้งแต่ฝนตกหยิมๆ แล้ว

อีกอย่างที่ความฝันน่ากลัวคือมันไม่ได้การันตีว่าคุณจะประสบความสำเร็จ ต่อให้คุณเป็นคนที่ออกมาวิ่งกลางพายุมันก็ไม่ได้การันตีว่าคุณจะได้แชมป์ คุณต้องมองความเป็นจริงว่าระหว่างทางของความฝันมันมีคนตายไปกี่คน ที่สำคัญคือคนที่ตายอาจเป็นคนที่ทำงานหนักกว่าคุณก็ได้ ดังนั้นถ้าเกิดคุณมาทางนี้แล้วล้มลงระหว่างทางคุณต้องเสียเวลาในการวิ่งกลับไปที่เดิมอีก บางคนวิ่งวนเป็นลูปอยู่จนสุดท้ายก็ไม่รู้ว่าตัวเองอยากทำอะไรด้วยซ้ำ

ดังนั้นสำหรับผม เรื่องนี้เป็นเรื่องสำคัญ ถามตัวเองดีๆ ว่าเรามีความสุขกับอะไรและจะเดินไปทางไหน ถ้าสมมติจะเป็นหมอ คุณก็ต้องถามตัวเองว่านี่คือการรับใช้ความฝันคนอื่นหรือความฝันตัวเอง ถ้าเป็นของตัวเอง คุณต้องจริงจัง ต้องทำให้ได้ 

ผมไม่ได้พูดแบบนี้เพื่อให้มันขายได้ด้วยนะ เพราะผมรู้ว่าพูดแบบนี้ไปเดี๋ยวคุณก็เอาไปแปะเป็นชื่อบทความแน่ๆ แต่ทั้งหมดนี้ไม่ใช่เพื่อขาย แต่มันคือสิ่งที่เห็นมาตลอด ผมเห็นคนที่ตายไปกับความฝันไม่รู้ตั้งเท่าไหร่แล้ว ดังนั้นผมยังยืนยันว่ามันน่ากลัวครับ และนั่นคือเหตุผลที่คุณรวมถึงผมต้องย้ำเตือนตัวเองให้ทำงานหนักตลอดเวลา

 

มีคนมาปรึกษาคุณเรื่องนี้บ่อยไหม

เยอะมาก

 

แล้วรู้สึกยังไงเวลาเห็นข้อความเหล่านี้

ถ้าตอบว่ารำคาญจะน่าเกลียดไหม

ผมไม่ได้รำคาญในเชิงที่เขามาบอกนะ ผมเข้าใจว่าเขาอยากจะแชร์กับคนที่เขาคิดว่าเป็นพี่ แต่สิ่งที่ผมบอกกลับไปทุกๆ ครั้งคือมึงลงไปเลย มึงจงไปลองผิดลองถูกซะ ลงมือทำสิ เอาแต่พูดแม่งไม่ได้อะไรหรอก ชีวิตคนเราทำผิดพลาดมากกว่าทำถูกอยู่แล้ว จะกลัวอะไร ความรำคาญของผมมันเกิดกับคนที่เอาแต่พูดมากกว่า (นิ่งคิดนาน) จริงๆ มีเรื่องหนึ่งที่อยากเล่าให้ฟัง คือผมเคยไปเล่นที่งานประกวดดนตรีงานหนึ่ง จำได้เลยว่างานนั้นผมพูดไปว่า ‘สิ่งหนึ่งที่พี่อยากบอกน้องๆ ทุกคนในวันนี้นะครับ คือให้เลิกเล่นซะ’ ทุกคนแม่งเหวอกันหมด

ทำไมถึงพูดออกไปแบบนั้น

เพราะเวลามีคนมาบอกคุณให้เลิกทำอะไรที่เป็นความฝันของคุณ หลังจากนั้นจะมีคนอยู่ 2 ประเภท หนึ่งคือคนที่เลิก สองคือคนที่ไม่เลิก และมันมีแต่คนที่ไม่เลิกเท่านั้นที่จะได้ไปต่อ ที่สำคัญคือผมเองนี่แหละที่เป็นหนึ่งคนที่เคยถูกบอกให้เลิกเล่น แต่ผมไม่เลิก ต่อให้เป็นงานประกวดผมก็ไม่เคยชนะ นี่คือสิ่งที่ผมจะสื่อ ซึ่งเมสเซจนี้หนัก แต่ถ้าเข้าใจมันจริงๆ มันก็น่าสนใจว่าจะออกมาเป็นยังไง

 

คิดว่าวันนั้นน้องๆ เข้าใจไหม

ไม่แน่ใจ แต่ถ้าไม่เข้าใจคงด่าผมยับ แต่ถ้าเข้าใจจริงๆ พวกเขาคงไปต่อ ก็อย่างที่บอกว่าภาษาและอวัจนภาษาของผมต้องใช้วิจารณญาณ

ทุกวันนี้เหมือนฝันของคุณเดินทางมาไกลระดับหนึ่งแล้ว ยังมีความสุขกับเส้นทางนี้อยู่หรือเปล่า

มีมาตั้งแต่วันแรกจนถึงวันนี้ ก็มากเท่าเดิม อาจเพราะผมเป็นคนที่ถามหาตั้งแต่แรกอยู่แล้วด้วย ตั้งแต่วันที่มันยังไม่ให้อะไรกลับมา จนวันนี้ดนตรีให้เราในทุกๆ มิติทั้งที่จับต้องได้และไม่ได้ เหมือนเวลาพิสูจน์ว่าเราตัดสินใจไม่ผิด ดังนั้นมันจึงเป็นความสุข ผมยังไม่เคยกลัวการตื่นไปทำงาน ไม่เคยขี้เกียจจะเป็นบอย โลโมโซนิก ไม่เคยไม่อยากขึ้นไปเล่น  ไม่เคยขี้เกียจออกกำลังกายสะสมพลังงาน ไม่เคยเลย ฟังดูประหลาดไหม

 

นึกถึงคำว่า ‘วินัย’ มากกว่า

ใช่ๆ วินัยสำคัญ แต่สำหรับผม คำนี้ก็เป็นเรื่องน่าเบื่อที่จะพูดแล้ว สิ่งเหล่านี้คือสิ่งที่ต้องทำอยู่แล้ว จะมานั่งดูดบุหรี่แล้วบอกว่าไม่มีอารมณ์ไม่ได้

 

แต่หลายคนจะนิยามอะไรแบบนั้นว่าเป็นอารมณ์ศิลปิน

ผมไม่ใช่ศิลปิน (ตอบทันที) ถ้าคำนิยามของคำว่า ‘ศิลปิน’ เป็นสิ่งที่คนเข้าใจแบบนั้น ผมก็ไม่ใช่ศิลปิน ผมคือนักดนตรี นักออกแบบ นักร้อง ตัวประหลาด หรือบอกว่าผมเป็นคนบ้ายังดีกว่าจัดผมให้อยู่ในสิ่งที่คนเข้าใจแบบนั้น ถึงเวลาเล่นผมต้องเล่น ผมต้องทำให้ได้

เรื่องนี้ผมซีเรียส ถึงขนาดที่ว่ามีครั้งหนึ่งที่ผมต้องไปตัดสินงานดนตรีแล้วมีเด็กวงหนึ่งขึ้นมาแล้วบอกว่า ‘วันนี้หนูป่วย หนูอาจจะทำได้ไม่เต็มที่นะคะ’ โอเค สุดท้ายน้องเขาทำได้ปกติ แต่สิ่งที่ผมนึกในเวลานั้นคืออยากไล่น้องเขากลับไป ไม่ต้องเล่น ไปพักให้เรียบร้อยก่อน วันหลังค่อยมาประกวด เพราะในความเป็นจริงน่ะ ไม่มีคนดูคนไหนเขาอยากมาดูนักดนตรีที่ป่วย เขาคาดหวังว่าจะมาดูมึงในสภาพร้อยเปอร์เซ็นต์ ไม่ได้อยากมาดูการร้องเหี้ย เจ้าของร้านไม่ได้จ่ายเงินมาดูมึงป่วย เพราะฉะนั้นคุณต้องจัดการตัวเอง คุณต้องแก้ปัญหาให้ได้ มันต้องจริงจังน่ะ ต้องจริงจังสิวะ ไม่จริงจังไม่ได้ดิ

คุณจริงจังแบบนี้มาตั้งแต่เมื่อไหร่ มีอะไรเป็นจุดเปลี่ยนไหม

ตั้งแต่เด็กแล้ว (คิด) คือบ้านผมล้มละลาย เราโตมาโดยเห็นว่าแม่ต้องทำกับข้าวไปขายในรถเข็น ถึงเขาป่วย ฝนตก หรือลำบากยังไงก็ตาม เขาก็ต้องออกไป ผมถูกปลูกฝังโดยการเห็นอะไรแบบนี้มา ยิ่งตอนเด็กที่ได้ดูทีวีว่าไมเคิล แจ็กสัน เป็นคนที่ซ้อมหนักมาก เราก็อยากจะจริงจัง ทำแบบนั้นตาม ถึงไม่มีใครบังคับให้ทำผมก็จะทำเอง ผมเชื่อในการทำงานหนักครับ เพราะสุดท้ายมันไปปรากฏบนเวทีหมด ด้วยลักษณะงานที่เป็นกายภาพเสียเยอะด้วย ผมยิ่งต้องทำงานหนักกว่าเดิม ผมจะเสียดายมากถ้าไม่ได้ทำงานหนัก

สำหรับผม ถ้ามีคนเล่นเพลงโลโมโซนิกได้ดีกว่าเรา มันยอมไม่ได้ เรื่องนี้จะยอมให้เกิดขึ้นไม่ได้เด็ดขาด ถ้ามีวันนั้นจริงผมคงอยากตาย มันไม่ได้ว่ะ หรือสมมติต่อให้มีมนุษย์คนหนึ่งเกิดขึ้นมาแล้วทำงานหนักกว่าผม วิ่งมากกว่าผม เล่นดนตรีดีกว่าผม ผมก็จะไม่ยอมและจะพัฒนาตัวเองขึ้นไปอีก เพราะผมเชื่อว่าถ้ามีคนล้านคน ผมว่ามันจะมีคนทำงานหนักสักพันคน คนทำงานหนักมากสักร้อยคน คนทำงานหนักสัสๆ สักสิบคน ผมก็ยังอยากเป็นที่หนึ่งให้ได้อยู่ดี

 

บางคนอาจแย้งว่าติดอันดับหนึ่งในสิบท่ามกลางคนเป็นล้านคนก็น่าจะเพียงพอแล้วไม่ใช่เหรอ

ก็โลกจำนีล อาร์มสตรอง ไม่ใช่เหรอ โลกไม่จำไมเคิล คอลลินส์ ผมอยากถูกจดจำครับ ตายไปแล้วคนจำเยอะๆ น่ะดี เพราะเราจะได้ส่งต่ออะไรบางอย่าง

 

อยากให้คนจำในฐานะอะไร

(นิ่งคิดนานมาก) ในฐานะพี่มั้ง พี่ชายที่เป็นนักสู้คนหนึ่ง เป็นพี่ที่พูดมากก็จริง แต่ทำมากกว่าพูดเยอะ ผมอยากเป็นตัวอย่างในแง่ของคนที่จะตามฝันแบบนี้ อยากส่งต่อจิตวิญญาณแบบนี้ 

ถ้าเจอผมแล้วบอกว่ารอยสักสวย ก็ได้แค่เปลือกไป ถ้าบอกว่าผมแม่งห่าม เท่ ก็เอาแค่เปลือกไป หรือมาบอกว่าผมแม่งนักเลง นั่นก็เอาแค่เปลือกไป แต่ถ้าเอาเมสเซจที่ผมอยากสื่อไปได้ ผมก็อยากเป็นคนนั้น อยากเป็นพี่ชายที่เขาจะนึกถึง เหมือนพอมาอยู่ตรงนี้นานเข้าและได้เห็นว่าเพลงเราทำงานกับคนฟังยังไง ผมก็คิดว่ามันคงดีถ้าเราจะเป็นพี่เขาได้ 

(คิด) ครั้งหนึ่งผมเคยตบหน้าเด็กหลังเวทีด้วยนะ

ทำไม

มันเดินมาบอกผมว่า ‘พี่บอย ผมจะฆ่าตัวตาย’ พอได้ยินแบบนั้นผมก็ตบมันแล้วก็พูดว่า ‘เนี่ย กูตบหน้ามึง มึงยังพยายามหลบเลย มึงไม่ต้องฆ่าตัวตายหรอก มึงรักตัวเองมากกว่านั้น ชีวิตนี้มีอะไรให้มึงทำอีกเยอะ’ 

ล่าสุดเมื่อวานซืนน้องคนเดียวกันนี้เพิ่งทักมาหาผมและบอกว่าเขาหายป่วยแล้ว

 

พอเจอแบบนี้ คุณรู้สึกยังไงบ้าง

มันก็เอฟเฟกต์เรา อะไรเหล่านี้มั้งที่ทำให้ผมอยากให้คนจำในฐานะพี่ ผมอยากเป็นพี่ที่ไม่ห่างไกลเกินน้องจะเข้าถึง ผมอยากเป็นอะไรที่มากกว่าคนที่ออกมาเย้วๆ บนเวทีแล้วก็หายไป เพราะถ้ามีคนที่เขารับเมสเซจตรงนี้ไปได้ ผมว่ามันดีและมันจะเป็นสิ่งที่มีความหมาย

นอกจากเรื่องนี้ ผ่านมา 14 ปีแล้วมีอะไรที่คุณและโลโมโซนิกอยากไปถึงอีกไหม

(คิด) ผมไม่เคยคิดว่าโลโมโซนิกประสบความสำเร็จแล้ว ไม่แน่ใจด้วยว่าเราจะได้ไปต่อยาวนานขนาดไหน แต่สิ่งที่แน่ใจคือเราจะไม่หยุดแน่ๆ  ตอนนี้ยังคงเป็นระหว่างทางที่เรายังคงถูกทดสอบ โดนต่อย โดนตีน่วม แต่มันก็เป็นเรื่องปกติของคนที่มีฝันอยู่แล้ว มันเหนื่อยก็จริงแต่ก็สนุก

ส่วนเป้าหมาย ในแง่วง เราก็อยากให้ทุกคนสบาย ส่วนในแง่งาน เราก็ยังอยากจะไปได้ไกลกว่านี้ เล่นในที่ที่ใหญ่กว่านี้ เรายังอยากดูว่าดนตรีจะพาเราไปไกลถึงขนาดไหน ความฝันเรายังคงอยู่ที่ระดับโลกครับ และเราก็ทำทุกวันเพื่อเดินทางไปในเส้นทางนี้ สุดท้ายไม่รู้จะถึงหรือเปล่านะ แต่อย่างน้อยการฝันถึงดวงจันทร์ก็ทำให้เราอยู่บนยอดเขา ไม่ได้อยู่บนพื้นเหมือนวันแรกแล้ว

เมื่อไม่กี่วันก่อน คุณเพิ่งตั้งแคปชั่นในอินสตาแกรมว่า ‘ถ้ามึงรัก มึงจงออกไปใช้ชีวิต’ สุดท้ายแล้วถ้าดูชีวิตที่ผ่านมาทั้งหมดของคุณ คุณคิดว่าตัวเองทำได้น่าพอใจขนาดไหน

เอาจริงโดยส่วนตัวผมไม่ค่อยคิดถึงอดีตเท่าไหร่ มันคือสิ่งที่สร้างและประกอบเรา เราหนีมันไม่ได้ ลืมไม่ได้ อย่างที่บอกนั่นแหละว่าถ้าให้ย้อนกลับไป ผมก็ไม่อยากแก้อะไรทั้งนั้น แต่ถ้าถามว่าพอใจกับการทำสิ่งที่รักไหม ผมคงตอบว่าพอใจนะ

สำหรับผม ไม่ว่าจะรักอะไรก็ตาม มันต้องทำว่ะ รักน่ะพูดง่าย ความฝันก็พูดง่าย คนเราพูดอะไรก็ได้ แต่ต้องทำด้วย ดังนั้นไม่ว่าทางจะไกลแค่ไหน ผมก็ต้องทำ จะเจออะไรยากลำบาก ผมต้องไปต่อ หรือต่อให้เจออะไรที่น่ากลัว ผมก็มักถามตัวเองนะว่าทำไมต้องไปกลัว ออกไปสิ ชีวิตนี้อย่างมากก็แค่ตายเปล่าวะ และถ้าตายในคอนเสิร์ตหรือเวที ก็ไม่แย่เท่าไหร่นี่หว่า เพราะเมื่อวันหนึ่งที่เราไม่อยู่แล้ว คนจะได้จำเราในแบบนี้ จำว่าเป็นพี่ที่ดีที่ส่งต่อความจริง ไม่ใช่แค่เปลือก

ความจริงของตัวมึงน่ะ ไม่ว่าจะรักหรือฝัน ทุกอย่างเริ่มต้นที่ตัวมึง ลองดูนะ ไม่มีอะไรยากหรอกถ้ามึงรักมัน

AUTHOR

PHOTOGRAPHER

พิชย์ สุนทโรสถ์

ช่างภาพหน้าหมี ผู้ชอบเพลงแจ๊สเป็นชีวิตจิตใจ