“ขอบคุณนะลูฟี่” บทสนทนาระหว่างว่าน–รัชชุ และมังกี้ ดี. ลูฟี่ โจรสลัดหมวกฟางแห่งวันพีซ

Life Quote Ep.4
ว่าน รัชชุ x มังกี้ ดี. ลูฟี่

คุณเคยมีเพื่อนที่โตมาด้วยกันตั้งแต่เด็กไหม รู้จักกันมานานแค่ไหนแล้ว

ไม่มากก็น้อย เราเชื่อว่าทุกคนมีเพื่อนที่เติบโตมาด้วยกันตั้งแต่เด็กจนโต ผูกพันกันในเกือบทุกช่วงเวลาของชีวิต ไม่ว่าจะเป็นคนจริงๆ หรือเพื่อนจากโลกการ์ตูนก็ตาม

สำหรับ ว่านรัชชุ สุระจรัส นักแสดงที่เราคุ้นตาจากเรื่อง Seasons Change เพราะอากาศเปลี่ยนแปลงบ่อย และ ปิดเทอมใหญ่ หัวใจว้าวุ่น เขามีเพื่อนที่ข้ามน้ำข้ามทะเลผจญภัยในเส้นทางชีวิตของกันและกันมาเกือบ 20 ปี นั่นคือ ‘มังกี้ ดี. ลูฟี่’ โจรสลัดหมวกฟางจาก One Piece มังงะที่มียอดขายสูงสุดในโลก

แม้ในตอนนี้ว่านจะเดินทางมาไกลจนทำให้หนึ่งในความฝันของตัวเองสำเร็จแล้ว นั่นคือการเรียนต่อด้านภูมิสถาปัตยกรรมที่สหรัฐอเมริกา ทำทีสิสเรื่องน้ำท่วมในกรุงเทพฯ จนคว้ารางวัลวิทยานิพนธ์ยอดเยี่ยม และยังได้ทำงานเป็นภูมิสถาปนิกในบริษัท SWA Group ที่สหรัฐอเมริกา เขาก็ยังคงติดตามการทำตามฝันของเพื่อนๆ ในโลกวันพีซอยู่ทุกสัปดาห์

แน่นอนว่าการเติบโตมาด้วยกันจนถึงวันนี้ทำให้นิสัยหลายอย่างของโจรสลัดหมวกฟางแทรกซึมเข้ามาในตัวว่านไม่น้อย โดยเฉพาะการเลือกทำในสิ่งที่เขารักและสนุกที่จะอยู่ด้วยจนถึงวันนี้ 

ถ้าหากเรือของลูฟี่ยังคงล่องบนท้องทะเลเพื่อตามหาสมบัติวันพีซอยู่ เราคิดว่าเรือของว่านก็น่าจะแล่นคู่ขนานอยู่ข้างๆ กัน

“เมื่อก่อนว่านเป็นคนชอบเล่นการ์ดยูกิมาก ทุกสัปดาห์เราจะอ่านนิตยสารการ์ตูนที่ชื่อว่า C-KIDs เพราะมียูกิอยู่ในนั้น ซึ่งจะเจอวันพีซอยู่ในนั้นด้วย ตอนแรกไม่ได้อ่านเป็นคำว่า ‘วันพีซ’ ด้วยนะ อ่านว่า ‘วันพืช’ เลยสงสัยว่ามันเป็นเรื่องชาวนาปะวะ (หัวเราะ)

“พอได้อ่านวันพีซจาก C-KIDs ไปเรื่อยๆ ก็รู้สึกว่าชอบเพราะเนื้อเรื่องสนุกดี มันเป็นการ์ตูนที่ตัวละครต้องไปผจญภัยตามที่ต่างๆ เพื่อตามหาสมบัติ ในความเข้าใจของเราตอนนั้นการหาสมบัติก็คือของมีค่า แต่พอโตขึ้นมา ตอนนี้ยังไม่รู้เลยว่าสมบัติที่ว่าคืออะไร

“ยิ่งอ่านยิ่งรู้สึกว่าจริงๆ วันพีซไม่ใช่การ์ตูนเด็ก มันเป็นการ์ตูนเครียด ความสนุกของวันพีซไม่ได้อยู่ที่การผจญภัยอย่างเดียว แต่คือการที่อาจารย์โอดะ (เออิจิโระ โอดะ) สร้างโลกจริงย่อส่วนเพื่อทำให้โลกวันพีซมีทุกๆ ประเด็นที่เกิดในโลกจริง เช่น การค้ามนุษย์ การบิดเบือนประวัติศาสตร์ของผู้มีอำนาจ หรือความหลากหลายทางเพศ ทุกตัวละครมีแบ็กกราวนด์หรือมีเหตุผลในทุกการกระทำ แต่ละเกาะในเรื่องก็มีคัลเจอร์ ความเชื่อ เรื่องเล่าต่างกัน มันทำให้เห็นว่าไม่มีใครดีหรือร้ายแบบร้อยเปอร์เซ็นต์ ทั้งหมดนี้เล่าแบบสนุกไม่ยัดเยียดเลย

“ตอนนี้เรื่องในวันพีซดำเนินมา 20 กว่าปีแล้ว มีตัวละครหลากหลายมากจนเราสามารถหยิบมาพูดได้หมดเลยนะ แต่เรารู้สึกว่าตัวเองสนิทและคุ้นเคยกับลูฟี่ที่สุดเพราะเขาเป็นตัวละครหลัก เราเลยรู้ว่าประโยคที่เขาพูดติดปากคืออะไร นิสัยเขาเป็นยังไง และลูฟี่เป็นคนน่าสนใจ ทุกคนอยากจะเล่นด้วย เพราะนิสัยเขาธรรมชาติมากๆ เป็นคนสนุก ว่านรู้สึกว่าตัวละครแบบนี้เข้าถึงคนง่าย 

“เวลาแนะนำตัวลูฟี่จะชอบพูดว่า ‘ฉันลูฟี่ ชายผู้จะเป็นเจ้าแห่งโจรสลัด’ (ทำเสียงเลียนแบบลูฟี่) เขาเป็นคนมีความฝันและมุ่งมั่นกับมันมาก มีฉากหนึ่งที่อยากเล่าให้ฟัง น่าจะอยู่ในเล่ม 52 ทำให้เราเห็นเลยว่าเขาจริงจังกับความฝันของตัวเอง ลูฟี่ไปเจอซิลเวอร์ เรย์ลี ลูกเรือของโรเจอร์ เจ้าแห่งโจรสลัดคนแรกที่พิชิตแกรนด์ไลน์ได้สำเร็จ ทำให้เรย์ลีรู้เรื่องที่เกิดขึ้นบนโลก ทั้งช่วงรอยต่อประวัติศาสตร์ร้อยปีที่หายไป ซึ่งรัฐบาลโลกไม่อยากให้ใครตามหา และรู้ว่าสมบัติอย่างวันพีซอยู่ที่ไหน

“นิโค โรบิน คนในกลุ่มหมวกฟางถามเรย์ลีว่า นายรู้เรื่องช่วงเวลาร้อยปีที่ว่างเปล่าด้วยเหรอ เรย์ลีบอกว่าใช่ แต่ก็คงจะไม่ได้รู้ทุกอย่างนะ แล้วอุซป หนึ่งในลูกเรือกลุ่มหมวกฟางก็พยายามถามว่าเราจะปล่อยให้โอกาสนี้หลุดมือไปจริงๆ เหรอ ลูฟี่เลยตะโกนขึ้นมาว่า ‘อุซ้ปปปปปปปปป! หยุดนะ ความฝันแบบนั้นฉันไม่อยากได้หรอก’ (ทำเสียงเลียนแบบลูฟี่) ประมาณว่า ถ้าฉันรู้ผลลัพธ์ของมันแล้วการเดินทางก็ไม่สนุก เป้าหมายของเขาคือการเดินทางเป็นโจรสลัดด้วยตัวเองต่างหาก ซึ่งเรย์ลีเองตอบว่าค่อยๆ เดินทางของตัวเองเถอะแล้วให้ประสบการณ์เป็นตัวบอกว่าวันพีซคืออะไร พวกนายอาจจะได้คำตอบไม่เหมือนกลุ่มโจรสลัดโรเจอร์ก็ได้

“ว่านว่าเล่มนี้เป็นคีย์ของเรื่องนี้เลย เพราะตอนเด็กๆ เราจะถูกสอนว่าประสบการณ์ของคนนี้สำคัญ ของคนนู้นสำคัญ ตัวเราถูกกำหนดจากคนอื่นเยอะมากๆ มีสุภาษิตที่บอกว่าเดินตามผู้ใหญ่หมาไม่กัดหรืออาบน้ำร้อนมาก่อน ถ้ามองบริบทมันก็อาจจะใช้ได้ระดับหนึ่งแต่บางทีมันไม่สามารถปรับใช้กับเราได้ทั้งหมด เราไม่สามารถเอาประสบการณ์ของคนอื่นมาตัดสินว่ามันถูกหรือผิดได้เลย

“อีกประเด็นคือ ในเรื่องจะมีตัวละครหัวเราะเยาะลูฟี่ว่าฝันใหญ่เกินตัว แต่เขาไม่เคยแคร์เลย ซึ่งเราก็คิดเหมือนกันนะว่ามันไม่ผิดหรอกที่จะฝันใหญ่แม้จะมีคนหัวเราะเยาะไปเรื่อยๆ เอาจริงว่านก็เคยเจอเหตุการณ์แบบนี้เหมือนกัน เวลาเราบอกว่าอยากทำอะไร อยากเรียนแบบนี้ อยากทำงานแบบนี้ มันจะมีคนหัวเราะเยาะ ดูถูกดูแคลน หรือเหน็บแนมประชดประชัน ตั้งแต่ตอนเรียนปริญญาตรี แม้แต่อาจารย์ก็ทำ ดูถูกความตั้งใจเรา พูดตรงไปตรงมาเลยตอนนั้นโกรธมาก พยายามพิสูจน์ตัวเองว่าเราทำงานตรงนี้ได้ด้วยตัวเราเองนะ ไม่ใช่เพราะพ่อเป็นภูมิสถาปนิกที่ทุกคนรู้จัก หรือเพราะสถานภาพทางครอบครัว แม้ตอนนี้จะโตแล้ว แต่เอาเข้าจริง เราก็ยังรู้สึกว่ามันไม่มีใครบนโลกนี้มีสิทธิมาดูถูกหรือลิดรอนเสรีภาพในการฝันของใคร 

“ลูฟี่ทำให้เห็นว่าไม่มีความฝันของใครที่ควรถูกหัวเราะเยาะ เขาเคารพในความฝันของคนอื่น แม้กระทั่งลูกเรือในกลุ่มโจรสลัดหมวกฟางก็คิดเหมือนกัน อย่างมีตอนหนึ่งที่อุซปบอกว่า ถึงร่างกายฉันจะแตกสลายแต่พวกนายก็ไม่มีสิทธิมาหัวเราะความฝันของเพื่อนฉัน 

“นอกจากเรื่องความฝัน มีอีกอย่างที่ว่านกับลูฟี่คิดเหมือนกัน เขาจะชอบพูดว่า ‘ของฉันแค่สนุกก็พอแล้ว’ ว่านก็เป็นคนแบบนั้น ไม่รู้สึกสนุกกับอะไรก็ไม่ทำ เพราะทำก็ไม่มีทางดี อย่างเรื่องการเป็นภูมิสถาปนิก ถ้าไม่ชอบก็คงไม่ทำ ไม่อย่างนั้นจะเหมือนคนที่ทำงานซังกะตายไปวันๆ เราเลือกงานที่ชอบจนมีช่วงหนึ่งการหยุดเสาร์-อาทิตย์เป็นปัญหาของเรามาก ที่นี่เขาจะชอบถามว่าวันหยุดทำอะไร คำตอบของว่านคือ ไม่มี เพราะเราอยู่แต่กับงาน จนต้องพยายามตามหาเลยว่าปกติเสาร์-อาทิตย์คนเขาไปไหนกันวะ (หัวเราะ) ตกปลาเหรอ หรือ hiking เออ เราก็ชอบนะ แต่ชอบทำงานมากกว่า ทุกวันนี้เลยทำงานครับ (หัวเราะ)

“พูดอย่างนี้ไม่ได้หมายความว่าเราเลือกทำเรื่องสนุกๆ ได้ตลอดนะ มันอาจจะมีบางอย่างที่อยู่ในเลเวลที่เราไม่ได้สนุก แต่อย่างน้อยเรายังหาทางที่จะมีความสุขกับมันได้ เวลาชีวิตของคนเรามันน้อยก็ทำให้มันสนุกทุกๆ วันไม่ดีกว่าเหรอ ปีที่แล้วว่านไปแอฟริกาใต้ ในวงสนทนาของนักออกแบบสายต่างๆ ก็พูดเรื่องนี้ จนได้ข้อสรุปว่า ทุกคนมีความสุขกับเสาร์-อาทิตย์ต่างกัน ในเมื่อเราชอบทำงาน ก็ไม่เห็นต้องเอาคำถามคนอื่นมาถามเราเลย เราก็ทำงานของตัวเองไป ในเมื่องานกับชีวิตมันเป็นเรื่องเดียวกัน เราว่าลูฟี่ก็คิดแบบนี้

“แต่เรื่องที่ว่านอยากทำให้ได้เหมือนลูฟี่คือ การเข้าใจความรู้สึกคนอื่น ลูฟี่ไม่ได้เป็นคนที่พูดอะไรซึ้งๆ แต่เขาเข้าใจเพื่อนมากๆ เลย เขารู้จักลูกเรือของตัวเองดี เราก็พยายามจะทำให้ได้ เรื่องการเข้าสังคมหรือการสร้างมนุษยสัมพันธ์ที่ค่อนข้างยากสำหรับเรา

“มุมมองอีกหลายอย่างของลูฟี่ทำให้เราปล่อยวางมากขึ้น เช่น ฉากที่ลูฟี่บอกว่าเขาไม่ได้อยากเป็นฮีโร่ มันทำให้เราคิดได้ว่า เออ เราไม่ต้องเป็นคนดีในสายตาคนอื่นก็ได้ คนอื่นจะคิดอะไรก็เรื่องของเขา ไม่ต้องไปแคร์ ถ้าเรารู้เหตุผลดีว่าสิ่งที่เราทำมันคืออะไร

“จนถึงตอนนี้ก็ยังคงรออ่านเรื่องราวของลูฟี่กับเพื่อนๆ เขาทุกอาทิตย์นะ มันเป็นความผูกพันที่เราโตมาด้วยกันแล้ว วันพีซมันเลยพิเศษกับเรามาก และไม่ใช่แค่ลูฟี่ที่มีอิทธิพลกับเรา ตัวละครหลายอย่างก็มีอิทธิพลกับเราจนถึงตอนนี้ ทั้งทางความคิดและการเงิน (หัวเราะ)” 

a dialogue with Monkey D. Luffy 

มิตรภาพระหว่างว่านกับลูฟี่กินที่เวลาเกือบๆ 20 ปีน่าจะทำให้เขาอยากสนทนากับกัปตันแห่งกลุ่มโจรสลัดหมวกฟางไม่น้อย และบรรทัดต่อไปนี้คือไดอาล็อกที่ว่านเลือกมาโต้ตอบกับชายที่มีความฝันยิ่งใหญ่ และไม่เคยดูถูกดูแคลนความฝันของใคร

Quote #1 ฉากลูฟี่เจอกับซิลเวอร์ เรย์ลี

ลูฟี่

ฉันไม่ต้องการจะเอาชนะอะไร…ฉันแค่คิดว่าคนที่มีอิสระที่สุดในท้องทะเลทั้งหมดคือ “เจ้าแห่งโจรสลัดนี่นา”… ฉันจะเป็นเจ้าแห่งโจรสลัด!! 

ว่าน 

ผมเริ่มจะเข้าใจมันมากขึ้นแล้วล่ะครับ ลูกพี่ลูฟี่ (คล้อยตามและประทับใจแบบบาโทโลมิโอ)

“จนตอนนี้ก็ยังไม่รู้ว่าเจ้าแห่งโจรสลัดหมายความว่ายังไง แต่คำจำกัดความของลูฟี่ดูจะต่างออกไปจากความยิ่งใหญ่ ทรัพย์สมบัติ อาวุธโบราณ หรือการแบกรับ 100 ปีของประวัติศาสตร์โลกที่หายไป

“เจ้าแห่งโจรสลัดของเขาน่าจะหมายถึงการมีอิสระที่สุดในท้องทะเลมากกว่า อย่างที่เขาพูดบนเรือหลังจากได้ชัยชนะที่เดรสโรซ่า “ฉันอยากเป็นเจ้าแห่งโจรสลัด ไม่ได้หมายความว่าต้องยิ่งใหญ่เสียหน่อย…” และอีกหลายๆ ครั้งที่เขาได้ทำในสิ่งที่ตัวเองอยากเป็น เขาเชื่อและกล้าที่จะฝันใหญ่กว่าตัวเอง อยากจะบอกอาจารย์โอดะว่า อย่าเพิ่งรีบเฉลย รีบจบนะ ขอให้ได้อ่านต่อ ได้เห็นการผจญภัยของพวกเขาอีกสักพักนะครับ (หัวเราะ)”

Quote #2 ฉากความสัมพันธ์ของลูกเรือกลุ่มโจรสลัดหมวกฟาง

ลูฟี่

ก็เพราะว่ามันเป็นนายไง

ว่าน

ฮือออ (ร้องไห้) ขอบคุณนะลูฟี่ TT ไปเตะตูดบิ๊กมัมกับไคโดกันเถอะ!!!!!

“ประโยคนี้เป็นตอนที่ลูฟี่พูดกับซันจิที่เกาะโฮลเค้ก หลังจากที่ซันจิบอกความต้องการจริงๆ ของเขาว่าต้องการกลับไปที่เรือเทาซันด์ซันนี่ แต่ก็ทำใจไม่ได้ที่จะต้องทิ้งครอบครัวของเขา (แม้จะเกลียด) ไว้ให้เป็นไปตามแผนฆาตกรรมในงานวิวาห์ตามที่บิ๊กมัมวางไว้  ตอนอ่านผมร้องไห้เลย เพราะแลดูลูฟี่เข้าใจและรู้จักทุกๆ คนในเรือของเขาเป็นอย่างดี และรู้ว่าภายในจริงๆ ลูกเรือของเขาต้องการอะไร รู้สึกยังไง งืมมม ร้องอีกรอบแป๊บนะครับ” 

Quote #3 ฉากกินเลี้ยง

ลูฟี่

เนื้ออออออ…..!!!!!

ว่าน

 ขอด้วยยยยย….ยยยย เออ…แต่หมายถึงเนื้อไหนนะ วากากากากาก (หัวเราะแบบผู้กินผลปีศาจ)

“เป็นอีกประโยคประจำของลูฟี่เลย จะเห็นตลอดตั้งแต่เริ่มตอนถึงตอนนี้ กินแล้วนอกจากเพิ่มพลังยังรักษาร่างกายได้ด้วยนะ เหมือนตอนฟันหลุดลูฟี่และบรู๊กดื่มนม ฟันก็งอกกลับมาใหม่ (หัวเราะ)”

Quote #4 ประโยคติดปาก 

ลูฟี่ 

ฉันน่ะขอแค่สนุกก็พอ

ว่าน

อื้มมๆ …(พยักหน้าเห็นด้วย ยิ้มปากฉีกแบบลูฟี่ด้วย :D)

“ชีวิตมันก็ต้องใช้ให้สนุกสิเนาะ ประโยคนี้จริงๆ ดูจะเป็นประโยคง่ายๆ ผ่านไปแค่เฟรมเดียวในการ์ตูน แต่ว่านกลับชอบและรู้สึกกับคำพูดนี้มากๆ เลย ถ้าสิ่งที่เราทำ ไม่ว่าจะงาน จะชีวิต ถ้าหาที่ที่ยังสนุกได้ ก็คงจะมีแรงทำไปได้เรื่อยๆ และน่าจะทำได้ดีนะ แน่นอนลูฟี่เขาสนุกกับสิ่งที่เขาตัดสินใจในทุกๆ ครั้งจริงๆ”

Quote #5 ฉากลูฟี่กับโซโลเจอกับโคบี้และเฮลเมปโปะอีกครั้ง

ลูฟี่ 

คราวหน้าถ้าเจอกัน พวกเราจะแข็งแกร่งกว่านี้ สุดยอดกว่านี้…จะสู้กับฉันไม่ใช่เหรอ? ถ้าอย่างนั้นก็เป็นเรื่องธรรมดาไม่ใช่รึไงที่จะเป็นให้ได้ระดับนั้น

ว่าน 

งืมมม จะพยายามครับ 

“ถ้าจำเล่มแรกๆ ได้ ลูฟี่ช่วยโคบี้ไว้ให้ได้เข้าเป็นทหารเรือและได้ไปฝึกกับการ์ป ซึ่งเป็นปู่ของลูฟี่ ความฝันและความทะเยอทะยานในตำแหน่งพลเอกของโคบี้ดูจะเป็นเรื่องไกลตัวมากๆ แล้วลูฟี่ก็พูดประโยคนี้ซึ่งฟังแล้วรู้สึกดีที่เขาเคารพและไม่เคยหัวเราะความฝันใคร จริงๆ มีอีกหลายเหตุการณ์จากสมาชิกกลุ่มหมวกฟางที่เชื่อและยึดมั่นกับสิ่งเดียวกัน พอได้อ่านทีไรก็น้ำตารื้น” 


Life Quote : ซีรีส์ที่ชักชวนผู้คนจากหลากแวดวง หลายความสนใจมาพูดคุยกับ ‘ตัวละคร’ ที่มีความหมายกับพวกเขา ไม่ว่าจะจากภาพยนตร์ ซีรีส์เกาหลี การ์ตูน นิยาย หรือแม้แต่บทเพลง

AUTHOR