“ชีวิตผมขับเคลื่อนด้วยความรัก” บทสนทนาระหว่าง ‘อัด อวัช’ และ Elio จาก Call Me By Your Name

Life Quote Ep.03

อัด อวัช x Elio

เคยดูภาพยนตร์เรื่องไหน แล้วรู้สึกว่าตัวละครในเรื่องนั้นช่างเหมือนกับเราเสียจริงบ้างไหม

สิ่งที่ตัวละครพบเจอ ช่วงเวลาที่เขาทุกข์และสุข ท่าทีที่เขาแสดงออก เหมือนกันกับสิ่งที่เรากำลังเผชิญอยู่จนคล้ายว่าหากตัวละครนั้นผ่านเรื่องราวเหล่านี้ไปได้ เราที่เจอเรื่องราวคล้ายกันกับเขาก็คงผ่านไปได้เช่นเดียวกัน

“Elio ทำให้ผมเห็นตัวเองตอนมีความรักครั้งแรก” นักแสดงอย่าง อัด–อวัช รัตนปิณฑะ คิดแบบนี้ทันทีที่ได้ดู Call Me By Your Name ภาพยนตร์ coming of age รสขมอมหวานที่ฉายให้เห็นเรื่องราวความรักและความสับสนของตัวละครชาย Elio และ Oliver ที่ทำให้อวัชย้อนคิดถึงความรักครั้งแรก

แม้ระหว่างทางจะเศร้าจนเสียน้ำตาไปพร้อมๆ กับเอลิโออยู่หลายยก แต่เมื่อภาพยนตร์เรื่องนี้จบลง เขากลับค่อยๆ ยอมรับได้ว่านี่แหละคือความจริงของโลก และมนุษย์ทุกคนที่มีความรักมีโอกาสเจอเหตุการณ์แบบนี้ได้เหมือนกันหมด

อวัช Call Me By Your Name

“เวลาเลือกดูหนังสักเรื่องผมจะเริ่มต้นด้วยความรู้สึกอยากดูเป็นอย่างแรก ตัดสินใจเลือกจากมู้ดแอนด์โทน จากสตอรี ไม่ได้คิดว่าจะต้องดูเพื่อศึกษาหรือถอดรหัสการแสดงอะไรขนาดนั้น กับหนังที่ชอบบางเรื่องผมดูซ้ำ 5-6 รอบเลยก็มี รอบแรกดูในฐานะคนดูจริงๆ พอเริ่มอินถึงค่อยมาคิดต่อว่าทำไมเราถึงชอบหนัง ชอบฉากนี้ ทำไมตัวละครนี้เราถึงผูกพันกับเขา รู้สึกรักเขาจัง

Call Me By Your Name เป็นหนังที่ผมชอบมาก จัดลำดับแล้วให้อยู่ใน top 3 ของชีวิต เหตุผลแรกที่เลือกดูเป็นเพราะผมชอบบรรยากาศของประเทศอิตาลีอยู่แล้ว เห็นแค่เทรลเลอร์ก็คิดว่ายังไงก็ต้องดูให้ได้ ซึ่งพอได้ดูจริงๆ มากกว่าอาร์ตไดเรกชั่นที่ตรงจริต ผมชอบที่หนังเรื่องนี้มันโคตรมนุษย์เลย เขาถ่ายทอดเรื่องราวความรัก ความสัมพันธ์ที่มีข้อจำกัด เรื่องของ LGBTQ และเรื่องการก้าวข้ามผ่านอะไรบางอย่างของช่วงวัยออกมาผ่านการแสดงที่ละเอียดมากๆ ของ Timothée Chalamet  และ Armie Hammer ที่ทำให้เราเชื่อและรู้สึกว่ามันจริง

อวัช Call Me By Your Name
อวัช

“ตัวละครเอลิโอทำให้ผมเห็นตัวเองตอนมีความรักครั้งแรก ทั้งตอนที่คลั่งรักมากๆ ตอนที่ทำตัวไม่ค่อยถูก รวมไปถึงตอนที่ความสัมพันธ์ทุกอย่างพังทลาย ใจสลาย ความรู้สึกเราเป็นเหมือนตัวละครนี้ ดูแล้วรู้สึกว่าแม่งคือกูเลย (หัวเราะ) ดูเรื่องนี้ไปห้ารอบแล้วแต่ยังอินกับตัวละครนี้ทุกรอบ ครั้งหลังๆ ที่ดูผมอินจนเหมือนมีทรอม่าร่วมกับตัวละครด้วยซ้ำ ยิ่งดูยิ่งเจ็บกว่าเดิม

“ไม่ใช่ว่าดูซ้ำๆ เพื่อที่จะทรมานตัวเองนะ แต่บางครั้งคนเราก็มีอดีตอันเจ็บปวดที่ยังยอมรับไม่ได้หรือไม่พร้อมที่จะมองย้อนกลับไปแล้วโอบกอดความเจ็บปวดนั้นไว้ สำหรับผมการดูหนังเรื่องนี้เป็นการดูเพื่อยอมรับให้ได้ว่า เออ ครั้งหนึ่งความรักเคยทำให้เราเกือบตายเหมือนกันว่ะ

อวัช

“มันเป็นหนัง coming of age ที่มีผลต่อตัวผมค่อนข้างเยอะ อาจเพราะช่วงที่ผมเจอปัญหามันใกล้กับช่วงที่หนังฉายด้วย เราได้เติบโต เรียนรู้ไปพร้อมๆ กับเอลิโอ อย่างฉากที่เขานั่งร้องไห้ผมเองก็เคยเป็นแบบนั้น โคตรเข้าใจเขาเลยว่าการนั่งร้องไห้ไปเรื่อยๆ มันเจ็บมากขนาดไหน แต่พอดูจบ ผมกลับค่อยๆ ยอมรับได้ว่านี่ไง สิ่งนี้คือความจริงของโลก ไม่ใช่แค่เราคนเดียวที่เจอ มนุษย์ทุกคนที่มีความรักมีโอกาสที่จะเจอเหตุการณ์แบบนี้ได้เหมือนกันหมด ความเศร้าเป็นหนึ่งในส่วนประกอบของความรัก ถ้าเราต้องเจอกับความเศร้า ความผิดหวัง เราก็แค่ต้องยอมรับ ใช้ชีวิตต่อ และเดี๋ยววันหนึ่งมันจะดีขึ้นเอง

อวัช

“ณ วันนั้นผมเศร้าจนมองไม่เห็นใคร คิดว่าไม่มีคนมารับฟังแบบเอลิโอที่มีพ่อปลอบโยน แต่พอได้กลับมาทบทวนผมก็เห็นว่าตัวเองอาจมีคนคนนั้นอยู่ตั้งแต่แรก แต่ผมมองข้ามพวกเขาไป ฉากเหล่านั้นฉายให้เห็นว่าเวลาที่เราเจอกับปัญหา ที่จริงเราอาจจะต้องการแค่ใครสักคนที่พร้อมจะรับฟัง เข้าใจ ไม่ต้องมาคอยโอ๋จ๋าแต่แค่นั่งฟังอย่างใช้ใจฟังจริงๆ ไม่ใช่แค่ปลอบผ่านๆ ก็เพียงพอแล้ว

“ไดอะล็อกที่พ่อของเอลิโอพูดยังทำให้คิดได้ว่าเวลาเรารู้สึกอะไร สิ่งสำคัญคืออย่าไปฝืนว่าตอนนี้เราไม่รู้สึกถึงสิ่งนั้น วันที่เราเศร้าเรามักรู้สึกว่าไม่อยากเศร้า ไม่อยากเจ็บปวดอีกแล้ว แต่ท้ายที่สุดผมว่าความเจ็บปวดมันคือรสชาติหนึ่งของมนุษย์ ฉะนั้นก็ไม่เห็นผิดอะไรที่เราจะเศร้าหรือร้องไห้เป็นบ้าเป็นหลัง

อวัช

“เมื่อก่อนผมเป็นคนรู้สึกอะไรจะเก็บไว้ ไม่ค่อยได้พูดกับใคร เก็บจนรู้สึกว่าโลกใบนี้มันหนักไปหมด ไม่อยากเศร้า เศร้าแล้วทำให้คนอื่นรู้สึกไม่ดี เป็นมวลก้อนดำๆ ที่ไปอยู่ท่ามกลางคน ปล่อยแต่พลังงานลบ แต่ ณ ตอนนี้กลายเป็นว่าเรายอมรับได้แล้วว่าก็กูมีสิ่งนี้ในตัว กูเศร้าอยู่ แต่ไม่ได้แปลว่าจะเศร้าตลอดไป 

“ผมมองว่าความรักเป็นสิ่งที่เจ็บปวดแต่ก็สวยงามในเวลาเดียวกัน แม้ว่าความรักจะทำให้เจ็บหรือเสียใจมากแค่ไหนแต่ผมก็ยังต้องการมันอยู่ดี ความรักเป็นสิ่งที่สำคัญมากๆ สำหรับผม ชีวิตผมขับเคลื่อนด้วยสิ่งนี้

อวัช

“ไม่ได้หมายถึงแค่กับความสัมพันธ์แบบแฟนนะ แต่รวมไปถึงความรัก ความสัมพันธ์กับคนรอบข้างไม่ว่าจะในฐานะอะไรด้วย การที่เราได้รับความรัก ความเอ็นดู มันสำคัญมากในการที่จะก้าวเดินต่อไป ถ้าผมต้องใช้ชีวิตแบบที่ไม่มีความรักเลย ผมคงเฉาตายก่อน การมีความสัมพันธ์มันให้พลังอะไรบางอย่างกลับมา ทำให้ผมรู้สึกมีชีวิต มันคือสิ่งที่ทำให้ผมยังมีความรู้สึก วันนี้ดีใจ วันนี้เสียใจ วันนี้ผิดหวัง วันนี้โกรธ วันนี้รู้สึกแย่จัง ทำให้ผมรู้สึก alive มีชีวิตอยู่ต่อไปได้

“ผมว่าหนังเรื่องนี้เหมาะกับทุกคน ไม่ว่าจะกำลังรู้สึกอะไรอยู่ก็สามารถดูเรื่องนี้ได้เพราะจะได้ความรู้สึกที่แตกต่างกันด้วย ถ้าเศร้าอยู่ เจอประสบการณ์เดียวกับตัวละครก็อาจจะทำให้เราดำดิ่ง หรือได้ปลดล็อก ระบายความรู้สึกของตัวเอง แค่ได้ร้องไห้ออกมาก็ทำให้รู้สึกดีขึ้นได้ หรือถ้าไม่ได้อยู่ในมู้ดเศร้า ดูแล้วก็อาจจะมองเห็นความสวยงามบางอย่างในหนัง ได้ดูการกำกับภาพที่สวยงาม ได้เห็นความรักที่มันหอมกรุ่นในช่วงเวลาหนึ่ง ในฐานะคนที่เคยดูด้วยความรู้สึกทั้งสองแบบ ผมว่านี่คือหนึ่งในภาพยนตร์ที่น่าดู”

a dialogue with Elio

ในเมื่อ Call Me By Your Name คือหนังเรื่องโปรด แถมอวัชยังบอกเองว่าเอลิโอเหมือนกันกับตัวเขา เราจึงชวนนักแสดงหนุ่มมาเปิดม่านการแสดง หลับตาพาตัวเองไปอยู่ในอิตาลีตอนเหนือ แล้วลองจินตนาการว่าถ้าคุยกับตัวละครในดวงใจได้ อยากพูดอะไร

นี่คือไดอะล็อกในภาพยนตร์ที่อวัชชอบ ความในใจที่เขาอยากบอกกับเอลิโอ และประโยคที่เขาอยากพูดกับตัวละครอื่นๆ ที่คอยปลอบประโลมเอลิโอในวันที่ใจสลาย

QUOTE #1 ฉากเอลิโอและโอลิเวอร์คุยกันที่ระเบียง

เอลิโอ

God, we wasted so many days.

อวัช

Why didn’t you tell me before? I already gave you a sign.

“คลั่งรักดีนะ ประโยคนี้ (หัวเราะ) จริงๆ ชอบประโยคนี้เพราะเชื่อมโยงกับประโยค Is it better to speak or to die? ที่แม่ของเอลิโอเคยพูด เหมือนพอตัวเอลิโอพูดแบบนี้ คนฟังได้ยินคงกรี๊ดอยู่ข้างใน ดีใจที่ได้รู้ว่าจริงๆ เขาก็ชอบเรามากเหมือนกัน และชอบมาสักพักแล้วด้วย คงจะยิ่งรู้สึกตื่นเต้นเพิ่มขึ้นไปอีก 

“ถ้าเป็นคาแร็กเตอร์ตัวผมจริงๆ ผมก็คงไม่เป็นคนพูดก่อนอยู่แล้ว พออีกฝั่งเปิดประตูผมเลยน่าจะบอกให้เขารู้ว่าจริงๆ ผมก็ส่งสัญญาณแล้วนะ I already gave you a sign. ฟีลเหมือนที่จริงเราก็แรดเงียบนะ (หัวเราะ)”

ฉาก 2

QUOTE #2 ฉากยืนคุยหน้าร้านหนังสือ

เอลิโอ

I just wanted to be with you.

อวัช

I love you. I just want to be with you.

“ฉากนี้ทำให้เห็นถึงความสัมพันธ์ที่พอเราเปิดประตูความรู้สึกของกันและกันแล้ว พอเจอปัญหาอะไร เราจะกล้าพูดในสิ่งที่เราต้องการมากขึ้น ผมว่าประโยค I just wanted to be with you. ของเอลิโอมันจริงใจดี รู้แล้วแหละว่าคงเป็นไปไม่ได้ แต่ก็พยายามจะทำยังไงก็ได้ให้ได้ยังอยู่กับเขา 

“ถ้าเป็นผม ผมคงย้ำความรู้สึกของเราให้เขารู้ คงมีความขอ อ้อนวอน ว่าเรารักเขาจริงๆ นะ ยังอยากอยู่ด้วยกัน”

ฉาก 3

QUOTE #3 ฉากหนุนตักฟังแม่อ่านหนังสือ

แม่เอลิโอ 

Is it better to speak or to die?

อวัช

I think it’s better to speak because I don’t want  to waste my time losing you again.

“เมื่อก่อนผมเป็นคนไม่ค่อยพูด และหลายๆ ครั้งชีวิตผมก็เป็นเหมือนในหนังเรื่องนี้คือเพิ่งมารู้ทีหลังว่าต่างคนต่างรู้สึกดีต่อกันแต่ไม่มีใครกล้าพูดออกไป ประโยคนี้เพิ่มความกล้าให้เรา เพิ่มกำลังใจในการพูดความรู้สึก เพราะถ้าไม่พูดก็อาจไม่ได้พูดแล้วนะในชีวิตนี้ อาจจะตายเร็วๆ นี้แล้วก็ได้ 

“ผมรู้สึกว่าพอไม่พูดแล้วมันเสียโอกาส ประโยคนี้ทำให้ช่วงหลังๆ ผมใช้ชีวิตแบบรู้สึกยังไงก็พูด การพูดทำให้เรารู้ว่าจะไปยังไงต่อ เหมือนการบอกรักเลย ไม่ได้ก็เสีย ซึ่งถ้าเสียเราก็จะได้มูฟออน”

ฉาก 4

QUOTE #4 ฉากคุยโทรศัพท์กับโอลิเวอร์

โอลิเวอร์

I miss you too.

อวัช

I miss you more than you can imagine. I miss you, I miss you, I miss you.

“ซีนนี้น้อยแต่ว่าท่วมท้นมาก ประโยคไม่กี่ประโยค แต่ทำให้ผมรู้สึกว่ามันคือพลังความรักของคนสองคนที่ส่งผ่านถึงกันได้จริงๆ เขาแสดงได้ดีกันมากๆ ความรู้สึกข้างในมันคงสุดๆ แล้ว เหมือนรู้แล้วว่าคิดถึงกันแต่ก็ทำอะไรไม่ได้ ไม่เห็นทางไปต่อ แต่ตัดความรู้สึกไม่ได้สักที ถ้าผมเป็นเอลิโอคงพูดอะไรประมาณนี้ คงอยากจะบอกรักย้ำให้รู้ถึงความรู้สึก”

ฉาก 5

QUOTE #5 ฉากพูดคุยบนโซฟากับพ่อ 

พ่อเอลิโอ

Right now, you may not want to feel anything… but to make yourself feel nothing…so as not to feel anything…What a waste!

อวัช

(กอด)

“ผมว่าบางครั้งเราก็ต้องยอมรับความจริง ปล่อยให้ตัวเองรู้สึกกับความเศร้า ความผิดหวัง ความเจ็บที่เกิดขึ้น สิ่งที่เขาพูดออกมาแสดงให้เห็นแล้วว่าเขาเข้าใจ ยอมรับเรา ถ้าได้ยินประโยคนี้จริงๆ ผมคงกอดเขาแล้วร้องไห้แต่ไม่ได้พูดอะไร ภาษากายน่าจะตอบเขาไปหมดแล้ว”

AUTHOR

PHOTOGRAPHER

สรรพัชญ์ วัฒนสิงห์

ชีวิตต้องมีสีสัน