‘เสียใจดีกว่าเสียดาย’ เจมส์ ธีรดนย์ กับบทบาทครั้งใหม่ของชีวิต

Highlights

  • เจมส์–ธีรดนย์ ศุภพันธุ์ภิญโญ ในวัย 22 ปี เปลี่ยนบทบาทจากนักแสดง มุ่งหน้าสู่อีกฝันคือการร้องเพลง ปัจจุบันเขาเป็นหนึ่งในสมาชิกของศิลปินกลุ่มที่ชื่อ TRINITY ในสังกัดค่าย 4NOLOGUE
  • ‘เสียใจดีกว่าเสียดาย’ คือประโยคง่ายๆ แต่มีความหมายจากแม่ ซึ่งเป็นอีกน้ำหนักที่ช่วยในการตัดสินใจครั้งนี้ของเขา
  • เจมส์เป็นคนกลัวการย่ำอยู่กับที่ จึงไม่แปลกที่เป้าหมายใหม่ๆ ของเขามักปรากฏขึ้นอยู่เสมอ ด้วยเชื่อว่าการท้าทายจะนำไปสู่การพัฒนาตัวเอง

หากใครเคยติดตามผลงานของ เจมส์–ธีรดนย์ ศุภพันธุ์ภิญโญ จะรู้ว่าเขาผ่านการแสดงมามากมาย ทั้งบทบาทกวนๆ ในซีรีส์ ฮอร์โมนส์ วัยว้าวุ่น, บทบาทลูกคนรวยใน ฉลาดเกมส์โกง, บทวัยรุ่นซึมเศร้าในเรื่อง SOS skate ซึม ซ่าส์, บทหนุ่มแว่นชื่อเวกัสในซีรีส์ เลือดข้นคนจาง หรือ ภาพยนตร์ Homestay ที่ต้องเล่นเป็นวิญญาณและคนเป็น

“ผมเกลียดการร้องเพลงมาก” ระหว่างการพูดคุยเขาบอกเช่นนั้น แต่กับวง NINE BY NINE (9×9) โปรเจกต์พิเศษที่รวม 9 ไอดอลสุดฮอตมาปลุกปั้นการร้อง การเต้น และการแสดง ที่ได้รับการตอบรับจากแฟนๆ ล้นหลาม เขาคือหัวหน้าวง ยิ่งไปกว่านั้นเจมส์เพิ่งถึงจุดเปลี่ยนครั้งสำคัญของชีวิตกับบทบาทใหม่คือ การเป็นหนึ่งในสมาชิกของวง TRINITY ร่วมทีมกับ เติร์ด ลภัส, ปอร์เช่ ศิวกร และ แจ๊คกี้ จักริน ถือเป็นการเดบิวต์ศิลปินกลุ่มวงแรกของสังกัด 4NOLOGUE ที่เชื่อว่าหลายคนน่าจะได้ฟังเพลงของพวกเขาและได้ชมลวดลายการเต้นกันแล้ว

การได้รับโอกาสเข้าสู่บทบาทนักแสดงตั้งแต่อายุ 17 ปีทำให้ทุกคนเห็นภาพแล้วว่าเขาประสบความสำเร็จมากน้อยเพียงใด แต่แล้วทำไมในวัย 22 ปี เจมส์ถึงตัดสินใจลาจากความสำเร็จนั้น และกับการเปลี่ยนแปลงครั้งนี้เขากำลังคิดอะไร นั่นคือสิ่งที่เราสงสัย

ในวันนี้เจมส์รับบทบาทใหม่ที่ไม่มีผู้กำกับและไม่ต้องอยู่ในเงาของตัวละครใด แต่เป็นตัวเอง เขาใช้ชื่อใหม่ในวงการว่า เจมส์ TRINITY

จากการสนทนา ผมได้ฟังคำตอบจากปากของเขา ถ้าอยากรู้ว่าการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญนี้เป็นเช่นใด มาร่วมวงไปด้วยกัน

ทำไมถึงบอกว่าเกลียดการร้องเพลง

ไม่ใช่เกลียดเพราะว่าไม่ชอบร้อง แต่ผมร้องได้ไม่ดีเลย ก่อนที่จะเข้ามาเป็นนักแสดง ผมมีความฝันว่าอยากเป็นศิลปิน แต่รู้สึกว่าเป็นไปไม่ได้เพราะเสียงอย่างผมจะร้องเพลงได้เหรอ เหมือนคนมีปม

ก่อนหน้านี้เคยมีฉากใน ฮอร์โมนส์ฯ ที่ต้องร้องเพลง ผมยอมรับว่าเป็นคลิปที่ทุกวันนี้ยังไม่กล้าเปิดดู ขอบคุณผลงานวันนั้นที่ทำให้คนรู้จักผม แต่ผมกลับกลัวการร้องเพลงมาตลอด จนมีโอกาสมาอยู่กับ NINE BY NINE ได้รับการฝึกฝนอย่างจริงจัง แล้วเห็นว่าดีขึ้น จากวันแรกตอนที่เริ่มต้นจนถึงตอนนี้ผมเห็นการพัฒนา เลยรู้สึกว่ามีทางไปได้ถ้าผมพยายาม

 

ทำไมถึงตัดสินใจเข้าเป็นหนึ่งในสมาชิกของ TRINITY

เมื่อช่วงต้นปีผมหายไปอเมริกาสองอาทิตย์ ได้ไปเที่ยว ไปเจอสิ่งใหม่ เหมือนได้อยู่กับตัวเองและคิดว่าตอนนี้เราอยากทำอะไรกันแน่ เราอินกับสิ่งไหน

ตอนนั้นผมได้ดูคอนเสิร์ตที่งาน Coachella งานนี้สร้างแรงบันดาลใจให้ผมมากๆ ทำไมเพลงของ BLACKPINK คนถึงร้องตามได้ แล้วคนที่มาดูก็ไม่ใช่คนเอเชียอย่างเดียวนะ มีทั้งคนอเมริกัน คนยุโรป

ผมรู้สึกว่าการจะดังในระดับอินเตอร์มีหลายแบบ อุตสาหกรรมเพลงของประเทศไทยมีเพลงเพราะๆ ศิลปินหลายๆ คนเก่งมาก แต่จะโกอินเตอร์ด้วยแนว T-pop นั้นไม่มี ผมรู้สึกว่าต้องทุ่ม ต้องมีความบ้า ต้องกล้าฉีกออกจากกรอบเดิมๆ ซึ่งผมอยากทำ ถ้าไม่ทำคงจะรู้สึกติดอยู่ในใจมาก เลยตัดสินใจว่าเอาวะ ตอนเข้าวงการการแสดงวันแรก ผมก็ไม่ได้มีอะไรเหมือนกัน วันนี้มาลองเริ่มใหม่อีกทีจะเป็นอะไรไป วันนี้อายุ 22 ยังลุยได้

อีกสาเหตุหนึ่งที่ย้ายมา ฟังแล้วอาจจะดูโง่ คือเป็นคนชอบแต่งตัวมาก แล้วเรารู้สึกว่าเวลาอยู่บนสเตจ เราจะแต่งอะไรก็ได้ เวลาเขาให้แต่งอะไรแต่งหมดเลยนะ (หัวเราะ) 

เสี่ยงไหม ทิ้งงานแสดงมาเป็นศิลปิน

เสี่ยง ตอนแรกผมมีคำถามนี้กับตัวเองเหมือนกัน ช่วงที่เพิ่งเริ่มใหม่หลายๆ คนทักมาหาผมตลอดเวลา เขาบอกว่า ถ้าไปเป็นศิลปินมึงไม่ได้แข็งแกร่ง ไม่ได้แข็งแรง มึงเป็นนักแสดง มึงมาทางนี้ได้ดีแล้ว เวลาไปอ่านคอมเมนต์ก็จะเห็นทุกคนพูดแนวนี้

ผมเข้าใจว่าเวลาย้ายที่ทำงานจะมีการเปลี่ยนแปลงบางอย่าง ซึ่งผมก็ lost นะ lost อยู่นานมาก เพราะพอย้ายไปอยู่ในทีม ผมไม่ได้เก่งแบบที่เข้าไปแล้วทำได้เลย เป๋อยู่ช่วงหนึ่ง มีคำถามกับตัวเองตลอดว่ารู้สึกอะไร อยากทำจริงๆ หรือเปล่า แล้วจะมีความสุขไหม เราเลือกถูกแล้วจริงๆ เหรอวะ คือเครียดนั่นแหละ ตลอดชีวิต ไม่เคยมีเลย การทำงานที่เครียดจนต้องไปปรึกษาพ่อแม่ ครั้งนี้เป็นครั้งแรก

พ่อแม่ว่ายังไงบ้าง

แม่พูดประโยคหนึ่งกับผมว่า ‘เสียใจดีกว่าเสียดาย’ ในเมื่อเลือกแล้วต้องทำให้ดีที่สุด ผมเห็นด้วยกับแม่ เพราะวันนั้นที่เลือกก็รู้สึกอย่างนี้เหมือนกัน ต่อให้ทำแล้วไม่สำเร็จหรืออะไรก็แล้วแต่นั่นคือตัวเรา แต่ถ้าในวันนั้นผมต้องเลือกชีวิตด้วยการที่คนอื่นมานั่งกำหนดว่าควรทำแบบไหน ผมคงจะอยู่ในกรอบไปตลอด คงเสียดาย และคงติดอยู่ในใจมากๆ

 

การเลือกครั้งนี้ถือเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญในชีวิตไหม

สำคัญมาก นี่คือโอกาสสำคัญ เหมือนชีวิตของผมมีจุดเปลี่ยนชีวิตเป็นงานตลอด อย่างตอนแสดง SOS skate ซึม ซ่าส์  เป็นผลงานสำคัญที่ทำให้คนเชื่อว่าผมเป็นนักแสดง เพราะวันแรกที่ผมเข้ามาเล่น ฮอร์โมนส์ฯ คนบอกว่าผมเล่นห่วยเหมือนกันนะ หรือว่าวันที่เล่น ฉลาดเกมส์โกง คนก็บอกว่าเล่นได้แต่บทเดิมๆ ผมจะเจอคำที่ทำให้ต้องข้ามผ่านไปให้ได้ ไม่ใช่ว่าคนพูดแบบนั้นผิด เพราะบทที่ผมแสดงออกไปมีแต่แบบนั้น วันหนึ่งพอได้เรื่องที่ผมต้องเปลี่ยนจริงๆ ก็ต้องทำให้ได้

ผมรู้สึกว่าสิ่งที่ซื้อใจคนได้คือความสามารถ ถ้าเขาดูงานเราแล้วเขาเชื่อ เขาจะเชื่อ รู้สึกว่าการที่ผมมาทำเพลง วันนี้ผมอาจจะยังทำไม่ได้ แต่วันหนึ่งผมจะทำได้แน่ๆ ผมจะทำให้เขาเชื่อว่าผมมาทางนี้ได้

การตัดสินใจเลือกครั้งนี้ทำให้คุณเสียอะไรไปบ้างไหม

คนจะรู้สึกว่าผมเสียใช่ไหม คนภายนอกรู้สึกว่าผมจะไม่มีงานแสดง แต่ผมไม่ได้เป็นคนที่รับทุกเรื่องอยู่แล้ว ผมเป็นคนเลือกงาน แต่ไม่ได้เรื่องเยอะนะ แค่ต้องเลือกอะไรที่ดี เพราะเวลาทำงานผมไม่ได้อยากแค่ทำไปตามหน้าที่ ได้เงิน จบ ซึ่งมันแฟร์กับทั้งสองฝ่ายนะ ทั้งคนจ้างเรา ทั้งเราเองด้วย ถ้าไม่อินจะทำทำไม ไม่มีแพสชั่นหรือทำไปแล้วงานนั้นออกมาไม่สุดจะเสียทั้งคู่ ดังนั้นเวลาไปงานอะไรก็ตามที่ผมเลือก ผมจะรู้สึกอินมาก ยิ่งได้พูดยิ่งสนุก แล้วเอาจริงๆ ถ้าผมไม่เลือกมาทำเพลงตรงนี้ ผมอาจจะยังไม่มีงานแสดงก็ได้ ดังนั้นผมรู้สึกว่าผมไม่ได้เสียอะไร

 

แล้วทำไมถึงเลือกมาเป็นศิลปินกลุ่มทั้งๆ ที่เป็นศิลปินเดี่ยวน่าจะทำงานง่ายกว่า

ผมรู้สึกว่าถ้าทำงานคนเดียวจะมีข้อผิดพลาดที่ดูแลได้ไม่หมด แล้วกลุ่มที่ผมร่วมงานด้วยคือ NINE BY NINE เก่า แต่ละคนมีแพสชั่น มีเป้าหมายเดียวกัน แล้วการที่จะทำเพลงในแบบศิลปินกลุ่มอย่างนี้ เต้นคนเดียวไม่รู้ว่าเราจะพร้อมกับใคร ด้วยความเหมาะสม การมี 4 คนจะช่วยอุดช่องโหว่ของแต่ละคนได้

การเป็นนักแสดงมาก่อนมีส่วนช่วยในการเป็นศิลปินแค่ไหน

การเป็นศิลปินแทบจะเรียกว่าคนละเรื่องกันเลย ผมรู้สึกว่าการโฟกัสชีวิตเป็นคนละอย่าง ปกติดูหนังจะคอยดูพวกโปรดักชั่นแล้ววิเคราะห์ รู้สึกว่าซีนนี้น่าเล่นก็จะจำเก็บไว้เพื่อใช้ตอนแสดง ผมทำอย่างนี้บ่อยมากตอนเป็นนักแสดง แต่พอเริ่มเป็นศิลปิน ทุกวันนี้ตอนฟังเพลงจะฟังบีต ฟังซาวนด์ ฟังคอร์ด มองเห็นภาพบนเวที ความคิดจะต่างกัน รู้สึกว่าคนละโฟกัสกัน

 

พอได้เข้ามาอยู่จริงๆ เป็นภาพแบบที่เราคิดไหม

เหมือนนะ เพราะผมรู้ว่าจะต้องเจออะไร รู้ว่าต้องมีช่วงที่เป๋ รู้ว่าต้องยากแน่ๆ เป็นสิ่งที่พร้อมจะเจอ มีความสุขกับการที่ต้องไปซ้อม ทำทุกอย่างให้ดี 

คุณดูเป็นคนชอบทำงาน

ส่วนใหญ่แผนในชีวิตผมคืองานทั้งนั้น จะจมอยู่กับงาน รู้สึกว่าวันนี้ยังสนุกกับสิ่งนี้  

 

นอกจากเรื่องศิลปิน ช่วงนี้ให้น้ำหนักกับเรื่องอะไรมากที่สุด

เรียน เพราะตอนนี้ผมเรียนปี 5 แล้ว ไม่อยากให้ถึงปี 6 อยากจบแล้ว (หัวเราะ) เทอมนี้ต้องอัด 7 วิชา ยังถามตัวเองอยู่ว่าไหวเหรอ พรุ่งนี้ก็ต้องไปสอบอีก

 

ต้องซ้อมหนัก เรียนหนัก คุณจัดการเวลายังไง

ซ้อมหลังเรียน ต้องจัดการเวลาด้วย ค่อนข้างชินแล้วเหมือนกัน ในเดือนหนึ่งนานๆ ทีจะมีวันที่ว่าง แต่ผมเลือกแล้ว ดีกว่าไม่มีงานทำแล้วต้องเคว้ง ผมรู้สึกว่าเราต้องพัฒนาตัวเอง เวลาซ้อมแล้วรู้สึกว่าได้พัฒนาตัวเอง เวลาเราทำงานเราก็แฮปปี้

ที่ว่าตัวเองต้องพัฒนา เป็นเพราะคุณกลัวการย่ำอยู่กับที่หรือเปล่า

กลัว ชีวิตผมเป็นอย่างนั้นจริงๆ เวลาได้อะไรใหม่มาเราจะทำให้มันว้าว ให้รู้สึกเหมือนตัวเองมีพัฒนาการจากเรื่องหนึ่งไปอีกเรื่องหนึ่งให้ได้ ผมรู้สึกไม่ชอบตัวเองเวลาซ้อมแล้วทำไมเหนื่อยล้า จะรู้สึกว่าไม่ควรเป็นแบบนั้น ทำไมมึงไม่สู้กว่านี้อีกหน่อย ทำไมไม่สู้วะ จะเป็นแบบนี้ตีกันอยู่ข้างใน

 

ในความเป็นวัยรุ่นรู้สึกว่าเสียเวลากับงานมากไปไหม

รู้สึกดีกว่าว่างนะ แล้วไม่ใช่ว่าผมมีประสบการณ์เยอะกว่าคนอื่น คนอื่นเขาก็ไปทำอย่างอื่น หมายถึงว่าบางคนเขาเรียนอย่างเดียวเขาก็ได้ประสบการณ์จากการเรียน บางคนเขาทำอินเทิร์นหรือว่าทำงานไปด้วยเขาก็เสียเวลาไปเท่าๆ กับเรา

 

ทุกวันนี้เคยถามตัวเองไหมว่าสิ่งที่ทำมาถือว่าเราใช้ชีวิตคุ้มหรือยัง

(นั่งคิด) ถามเหมือนแม่ผมเลย วันที่ผมได้เป็นนักแสดง ฮอร์โมนส์ ตอนนั้นผมตอบแม่ว่าชีวิตคุ้มแล้ว แล้วดูตอนนี้สิ ชีวิตก็สร้างเป้าหมายใหม่เรื่อยๆ

ตอนนั้นอายุเท่าไหร่

อายุ 17 ผมรู้สึกว่าชีวิตคุ้มแล้วนะ แต่ผมอยากได้กำไร ตอนนี้ได้เข้ามาตรงนี้ถือเป็นกำไรแล้ว ตัวเลขแดงคือคำด่าจากสังคม สนุกไปอีกแบบ

 

คิดอย่างนี้ตั้งแต่เข้าวงการไหม

มันมาจากอะไรหลายๆ อย่าง ยิ่งเราโตขึ้น ยิ่งมีชื่อเสียงมากขึ้น ต้องมีความรับผิดชอบมากขึ้น ต้องจัดการตัวเองในจุดที่ไม่ใช่แค่ตัวคุณ ยิ่งโตขึ้นมันทำให้เราเข้าใจโลกมากขึ้น ทำให้เราเป็นผู้ใหญ่มากขึ้น

 

เชื่อในทางที่เลือกขนาดไหน คิดไหมว่ามันอาจจะไม่สำเร็จ

เชื่อ ผมเชื่อมาก อย่าคิดว่าตัดสินใจผิดพลาด ‘เสียใจดีกว่าเสียดาย’ วันนี้สมมติทำแล้วไม่ดังก็ไม่เป็นไร เพราะเป็นสิ่งที่ผมอยากทำอยู่แล้ว ไม่ดังเพราะปัจจัยอะไรค่อยมาแก้ปัญหาตรงนั้นให้มันดีขึ้น แต่ถ้าดูที่ปัญหาแล้วพบว่ามึงไม่เต็มที่ ผมจะรู้สึกผิดหวังกับตัวเองมาก เป็นทัศนคติที่ใช้ถ่ายหนังเหมือนกัน ต้องเต็มที่ ถ้าเต็มที่แล้วเราจะไม่มีจุดที่ต้องเสียดาย

AUTHOR