Landry Dunand : ชีวิตทำมือของช่างภาพฝรั่งเศสผู้เดินทางมาแล้วทั่วโลก 2/3

ไม่กลัวหรือ เมืองสงครามเลยนะนั่น
ไม่
(ตอบทันที) พวกเขาไม่ได้อยู่ฝ่ายตรงข้ามกับเรา นักท่องเที่ยวไม่ใช่เป้าโจมตี
สำหรับผมถือว่าค่อนข้างปลอดภัย
ผมไปไหนมาไหนโดยใช้จักรยานและพยายามไม่เข้าใกล้ทหารซึ่งเป็นเป้าในการลอบสังหาร
ผมปฏิบัติตัวเป็นประชาชนธรรมดา ฉะนั้นความเสี่ยงจึงน้อยลง
แต่ก็ใช่ว่าจะไม่มีอันตรายเลย อย่างไรเสีย คุณต้องเรียนรู้ที่จะระวังตัว
สังเกตคนที่เดินเข้ามาหา สอดส่องว่ามีอะไรเกิดขึ้นตลอดเวลา

เจอประสบการณ์หวาดเสียวไหม
ผมกับเพื่อนเคยเกือบโดนลักพาตัว
ต้องวิ่งหนีกันพัลวัน น่ากลัวมาก แต่นั่นก็ไม่ได้ทำให้เราเสียขวัญอะไร
ผมกลับต่อสัญญาว่าจ้างจาก 3 เดือนเพิ่มเป็น 2 ปีด้วยซ้ำ

ทั้งที่เกือบโดนลักพาตัว คุณก็ยังตัดสินใจอยู่ต่อ
ที่นั่นเต็มไปด้วยแรงบันดาลใจมากมาย
หนึ่ง ธรรมชาติงดงาม ภูเขาสวยมาก สอง ทุกอย่างแตกต่างจากเมืองไทยที่ผมเคยอยู่
โดยเฉพาะคนที่กรุงเทพฯ เรามีนักท่องเที่ยวหลากหลาย แต่ที่คาบูล
แม้จะมีนักท่องเที่ยวมากเหมือนกัน แต่ก็คัดมาแล้วว่าเป็นคนที่ชอบการผจญภัย
ชอบธรรมชาติ ผมจึงได้เพื่อนดีๆ ที่มีทัศนคติคล้ายกันมากมาย นอกจากนั้นงานก็น่าสนใจ
ผมทำงานบริษัทที่เกี่ยวกับการรณรงค์ต่างๆ เช่น แคมเปญเลิกเหล้า เลิกบุหรี่
ผมได้เจอคนอัฟกันดีๆ เยอะ ภรรยาผมทำงานที่นั่นด้วย และเธอชอบมัน
นี่เป็นเหตุผลที่ทำให้เราอยู่นานกว่าที่คาดไว้

ปรับตัวนานไหมกว่าจะคุ้นเคย
นานใช้ได้
ที่คาบูลไม่มีไฟฟ้ายกเว้นสำนักงานที่มีเครื่องปั่นไฟ นอกนั้นแล้วไม่มีคอมพิวเตอร์
ไม่มีเครื่องใช้ไฟฟ้าใดๆ ทั้งสิ้น เราอยู่กันอย่างเรียบง่าย
ผมเรียนรู้การพึ่งพาตัวเองจากที่นี่ เราพยายามทำทุกสิ่งทุกอย่างด้วยมือของเราเอง
แม้ช่วงแรกจะลำบาก แต่หลังจากที่เริ่มปรับตัวได้ เราก็รู้สึกดีมากทีเดียว

เล่าชีวิตที่คาบูลให้ฟังหน่อย
คุณทำอะไรบ้างในแต่ละวัน
งานก็คืองาน
ซึ่งเราทำงานกันหนักพอสมควร แต่ถ้านอกเหนือจากนั้นผมทำโปรเจกต์กับเพื่อนมากมาย
แอนิเมชัน หนังสั้น ถ่ายรูป สมุดภาพเคลื่อนไหว หรืออะไรก็ตามที่เกี่ยวข้องกับศิลปะ
เราพยายามทำตัวยุ่งๆ มิฉะนั้นคุณอาจจะบ้าได้ เพราะข้างนอกมีเสียงระเบิด
มีการยิงกัน มีการลักพาตัว มีโจรกรรม บางครั้งเราต้องขังตัวเองอยู่แต่ในบ้าน
เราจึงพยายามทำอะไรก็ได้เพื่อลืมปัญหาที่อยู่ข้างนอกชั่วคราว
ซึ่งการหมกมุ่นกับศิลปะเหล่านี้ช่วยได้มากทีเดียว
ผมคิดว่าเรามีความคิดสร้างสรรค์มากในช่วงเวลานั้น

2 ปีในอัฟกานิสถาน อะไรคือความทรงจำที่ดีที่สุด
ท่องเที่ยวที่
Band-e-Amir ซึ่งเป็นอุทยานแห่งชาติแห่งแรกของอัฟกานิสถาน
ตั้งอยู่บริเวณภาคกลาง ทะเลสาบสวยงามมาก ผมไม่เคยเห็นอะไรงดงามเท่านี้มาก่อน
เราไปกันหลายคน เพื่อนๆ และภรรยาผม ที่นั่นเงียบสงบไม่มีคนพลุกพล่าน
ไม่มีเสียงระเบิด เรานั่งกินเคบับแล้วพูดคุยกัน

การเจอกล้องรูเข็มก็ถือว่าเป็นความทรงจำที่ดีที่สุดเช่นกัน
มันเปลี่ยนวิธีคิดผมหลายอย่าง 2 ปีในอัฟกานิสถาน
ถ้านับเป็นสัดส่วน ผมใช้เวลากับกล้องรูเข็มมากที่สุด

ทำไมคุณถึงหลงใหลกล้องรูเข็มขนาดนั้น
มันมีอะไรที่กล้องดิจิทัลไม่มี
มันคืองานฝีมือ
ทุกอย่างทำด้วยมือเราทั้งหมด ไม่มีเครื่องยนต์เข้ามาเกี่ยวข้อง ไม่มีเครื่องวัดแสง
คุณต้องเปิดรูรับแสงของกล้อง 15 นาที เติมน้ำยาเคมีลงไป
สอดกระดาษเข้าไปในช่อง ผมเคยถ่ายรูปมาก่อน แต่ก็เข้าใจแค่ว่าคือการกดชัตเตอร์
ทว่าเมื่อได้รู้จักกับกล้องรูเข็ม ถึงได้ตระหนักจริงๆ
ว่าการถ่ายภาพเป็นมากกว่ารูปภาพ แต่มีกระบวนการ มีเรื่องราว มีเบื้องหลัง
ที่เต็มไปด้วยรายละเอียด

อยากทราบประสบการณ์ตอนเจอกล้องรูเข็มครั้งแรก
ตอนแรกผมเห็นมันบนท้องถนนในคาบูล
สมัยนั้นที่นั่นยังไม่มีกล้องดิจิทัล
กล้องรูเข็มถูกใช้เพื่อถ่ายรูปติดบัตรประชาขนหรือพาสปอร์ต
เป็นของใช้ปกติในชีวิตประจำวัน ผมเห็นแล้วชอบ สวยดี
จึงซื้อกลับมาเพื่อใช้เป็นของแต่งบ้าน ตั้งไว้เฉยๆ ระยะหนึ่งก็ลองใช้ดู
ปรากฏว่าได้รูปออกมาสวยถูกใจ หลังจากนั้นผมถ่ายรูปด้วยกล้องรูเข็มทุกวัน ถ่าย ถ่าย
ถ่าย แม้แต่ตอนกลางคืนที่ไม่มีแสงก็ยังถ่าย ผมเรียนรู้ด้วยตัวเอง
พยายามค้นหาวิธีการใช้ เพราะไม่มีไกด์บุ๊กเล่มไหนเขียนถึง
ไม่มีใครรู้และแนะนำผมได้ สิ่งที่ทำได้อย่างเดียวคือทดลองไปเรื่อยๆ

เข้าใจเหตุผลของคุณนะ แต่หนัก 20 กิโลกรัม
เสียเวลา 15 นาที ภาพที่ออกมาก็ไม่แน่นอน ไม่คิดว่าลำบากเกินไปหรือ
คุณพูดถูก
มันไม่สนุกเลย แต่ผมไม่ได้มองว่าเป็นข้อเสีย กลับกันเสียอีก
เพราะทุกอย่างที่คุณพูดมาทำให้ผมพบข้อดีของตัวเอง
ผมได้เรียนรู้กระบวนการทุกขั้นตอน ไม่ใช่แค่ แชะ แชะ แชะ แล้วจบกัน ช่วงเวลา 15 นาทีในการติดตั้งกล้องช่วยเปิดพื้นที่ให้ผมได้นั่งคุยกับคนที่มาถ่ายรูป
ไม่ใช่บอกแค่ว่าขอถ่ายรูปได้ไหม แต่มีการแลกเปลี่ยนทัศนะ ถามไถ่สารทุกข์สุกดิบ
เกิดปฏิสัมพันธ์ระหว่างคนถ่ายและคนถูกถ่าย
สิ่งเหล่านี้ทำให้รูปถ่ายบุคคลไม่ได้เป็นแค่ภาพเหมือนของบุคคลนั้น
แต่คือการบันทึกช่วงเวลาที่พิเศษ ผมไม่ได้รังเกียจการถ่ายรูปแบบ snap นะ แต่ทุกอย่างแตกต่างกันมาก

เปลี่ยนโลกการเดินทางเลยไหม
มากทีเดียว
มีคนมากมายเข้ามาคุยกับผม ส่วนใหญ่จะประหลาดใจ งงว่าทำอะไร แม้จะไม่ได้ถ่ายรูป
เขาก็อยากคุยด้วย เป็นสิ่งที่ดีมาก คุณลองคิดภาพดูสิ ผู้ชายกับกล้องตัวใหญ่ๆ
คงแปลกพิลึก มีหลายคนที่พยายามชวนไปกินข้าวที่บ้าน
ผมชอบมากที่ทุกคนเปิดใจมากกว่าที่เคย ทำให้เรารู้สึกว่าเราไม่ได้เป็นแค่คนต่างถิ่น
ผ่านมาแล้วก็ผ่านไป

แบกกล้องผ่านด่านตรวจคนเข้าเมืองคงวุ่นวายน่าดู
เรียกโกลาหลดีกว่า
(หัวเราะ) ปกติผมจะมีเป้ใบเล็กๆ ติดตัวทุกครั้งที่เดินทาง ใบเล็กนิดเดียว
แต่กล้องกลับเบ้อเริ่ม ผ่านด่านก็จะโดนค้นโดนถามอยู่นาน ดีที่ไม่เคยถูกกักตัว
แต่ที่พูดมาก็ไม่ได้สนุกขนาดนั้นหรอก เพราะมันหนักมาก เจ็บด้วย ไม่รู้ทำไปได้ยังไง…คนก็เหมือนกัน ไม่ได้น่ารักไปทุกที่ เช่น ที่ประเทศอิหร่านซึ่งค่อนข้างอันตราย
พวกเขากลัวการถ่ายรูป กลัวว่าผมอาจเป็นตำรวจหรือทหารที่จะส่งรูปให้รัฐบาล กรุงเทพฯ
ก็เหมือนกัน ทุกคนจะทำหน้าแบบ ไม่ ไม่ อย่ายุ่งกับฉัน พวกเขาไม่ค่อยมีเวลา
เร่งรีบมาก ไม่ให้ความร่วมมือ
นี่เป็นเหตุผลที่ทำให้ผมไม่ค่อยได้ใช้กล้องรูเข็มที่นี่มากนัก

เท่าที่เห็นผลงาน คุณชอบบันทึกภาพคนธรรมดาในชีวิตประจำวัน
ทำไม
ผมอยากแชร์ภาพชีวิตคนธรรมดาจากมุมมองที่ดี
อยากบันทึกช่วงเวลาที่กำลังจะเปลี่ยนแปลงไป ทุกวันนี้โลกหมุนเร็วมาก
ผมอยากเก็บความทรงจำที่กำลังจะสูญหายตามกาลเวลา

ในเมืองไทยคุณอยากบันทึกอะไรมากที่สุด
วิถีชีวิตโบราณ
คุณเห็นไหมว่าผู้ชายคนนั้นทำอะไร (ชี้ไปนอกบ้าน)
เขาเข้าไปในป่าเพื่อตัดใบตองมาทำขนมใส่ไส้ ผมพยายามเก็บภาพพวกนี้ไว้
เพราะสักวันหนึ่งมันจะหายไป เมื่อพวกเขาเลิกทำงาน ลูกหลานจะไม่มีทางทำต่ออีกแล้ว
ไม่มีใครสืบทอดหรืออนุรักษ์สิ่งเหล่านี้ไว้

ผมไม่ได้บันทึกภาพ
แต่ผมกำลังบันทึกเวลา

เหมือนกับกล้องรูเข็มที่กำลังจะหายไป
ใช่
ครั้งแรกที่ผมไปคาบูล มีกล้องรูเข็มตรงท้องถนนเต็มไปหมด ตรงนี้สิบ ตรงนั้นสิบ
แต่เชื่อไหมว่าครั้งล่าสุดที่ผมกลับไปเหลือแค่ 2 ตัว
ผมรู้สึกเศร้ามาก คนที่โน่นเลิกถ่ายรูปด้วยกล้องรูเข็มแล้ว
ทุกคนหันมาใช้กล้องดิจิทัลกันหมด มันกำลังหายไป ลึกๆ
ผมรู้สึกดีใจที่ตัวเองซื้อกล้องมาเก็บไว้ที่นี่
ผมมีความสุขที่สามารถรักษามันไว้ได้ ในขณะเดียวกันบางทีผมก็รู้สึกขัดแย้ง
มันเหมือนกับผมขโมยสิ่งสำคัญมาจากพวกเขา

ผมและเพื่อนกำลังทำสารคดีเกี่ยวกับกล้องรูเข็ม
เราเดินทางไปทั่วอัฟกานิสถานเพื่อตรวจสอบว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่
ในคาบูลแทบจะไม่มีอยู่แล้ว แต่รอบนอกยังหลงเหลืออยู่บ้าง
เราอยากรักษามรดกสุดท้ายก่อนจะเลือนหายไป

แปลก, ชาวต่างชาติกลับเป็นเดือดเป็นร้อนมากกว่าเจ้าของประเทศเสียอีก
เรามักมองข้ามสิ่งที่อยู่ใกล้ตัวเสมอ
ทุกคนอยากก้าวไปข้างหน้า อยากพัฒนา อยากไปสู่สิ่งที่ดีกว่า
ทำไมคุณยังถ่ายรูปขาวดำอยู่ ในเมื่อสามารถถ่ายรูปสีได้ มีกล้องดิจิทัลพกพาสะดวก
ทำไมยังใช้กล้องโบราณเทอะทะ ผมดูโง่มากที่ยังทำอะไรแบบนี้อยู่
แต่ผมเข้าใจถ่องแท้เลยล่ะ เพราะในโลกตะวันตก
เราเปลี่ยนจากยุคแอนะล็อกไปยุคดิจิทัลกันหมดแล้ว เราผ่านช่วงเวลานี้มานานมาก
เมื่อมองจากตรงจุดนี้กลับไปแล้วเห็นพวกเขากระตือรือร้นกับอนาคต
พร้อมจะทิ้งอดีตไว้ข้างหลัง ผมไม่แปลกใจแม้แต่น้อย

คุณรู้ข่าวโกดักล้มละลายใช้ไหม
ผมรู้สึกเสียใจมาก กระดาษ ฟิล์ม จะหายไปแล้ว น่าเศร้าเหลือเกิน

เหตุผลที่คุณยอมโง่คือ…
ผมโดนคำถามนี้เยอะมาก
หลายคนถามผมว่าในยุคที่ใครๆ ก็ถ่ายรูปได้ ผมจะยืนอยู่ตรงไหนในวงการภาพถ่าย
จะมีอะไรสู้กับช่างภาพรุ่นใหม่ๆ ผมตอบกลับไปว่า จุดขายของผมคือคำว่า ‘ใครๆ ก็ถ่ายรูปได้’ นั่นแหละ
รูปที่คุณถ่ายเป็นแค่ไฟล์ดิจิทัลในอีกล้านล้านล้านไฟล์บนโลก สิ่งที่ผมทำไม่ใช่การถ่ายรูปโดยใช้เวลาเพียงเสี้ยววินาที
แต่เป็นกระบวนการอันยาวนาน ไม่ใช่แค่รูปภาพ แต่เป็นสิ่งของบางอย่างที่ทำมาจากมือ
เชื่องช้า อ่อนช้อย คุณสามารถร้บรู้ถึงความเป็นมนุษย์อยู่ในนั้น
ผมใส่ตัวตนของผมลงไป ถ้าถอดชิ้นเนื้อได้คงทำไปแล้ว

ผมไม่ได้ต่อต้านรูปดิจิทัลนะ
มันสวยมากผมไม่เถียง แต่สวยเพื่อมองไม่ใช่เพื่อจดจำ
ทุกวันนี้เปิดเว็บไซต์เสิร์ชหารูป มีรูปให้คุณดูเป็นร้อยๆ ในเวลาไม่กี่นาที
มันสวยนะ แต่ภายใน 5 วินาทีหลังจากนั้น
ผมจำไม่ได้ว่าผมดูภาพอะไร สิ่งที่ผมพยายามทำไม่ใช่รูปสวย
แต่คือรูปที่ควรค่าแก่การจดจำ

คิดยังไงกับ Instagram
น่ารักดี
เพื่อนผมก็เล่นกันเยอะ มีรูปสวยๆ มากมายอยู่ในนั้น แต่อย่างที่บอก
มีคนล้านคนที่ใช้ โอเค รูปเหล่านี้มีมุมมองหรือสิ่งที่คุณพยายามจะเล่า
แต่มันก็เป็นแค่อีกรูปในอินสตาแกรมที่ทุกคนทำเหมือนกัน ผมไม่ได้บอกว่าไม่สวย
มันสวย แต่ไม่ใช่สิ่งที่ผมอยากใช้เวลากับมัน

คุณอยากให้เราใช้เวลากับรูปรูปหนึ่งมากขึ้น
ใช่
ผมอยากให้เขาใช้เวลากับมันมากหน่อย มากกว่า 2 วินาที
เพื่อที่จะได้เข้าถึงภาพภาพนั้น ค่อยๆ มอง ด้านหน้า พลิกด้านหลัง ดูกระดาษที่ใช้
ทุกวันนี้เราดูภาพตลอดเวลา แต่เรากลับไม่ค่อยให้เวลา ผมอยากให้เขามอบเวลานั้นให้กับภาพของผมบ้าง
เพราะเชื่อว่าน่าจะแตกต่าง คุณอาจรู้สึกว่ามันกำลังเคลื่อนไหวอยู่ เส้นผมปลิว
แต่ขอให้ใช้เวลาหน่อย และถ้าซื้อด้วยจะดีมาก (หัวเราะ)

บอกได้ไหมว่าขายรูปหนึ่งเท่าไหร่
รูปล่าสุดขายไป
15,000 เป็นคนไทยซื้อด้วย ถือว่าถูกนะ เพราะมันมีเอกลักษณ์มาก

มีรูปที่เป็นของรักของหวงไหม
ทุ่มทุนเท่าไหร่ก็จะไม่ขาย
ผมรักภาพชุดที่เป็นหน้ากากเด็ก
(ชี้ไปที่ภาพบนผนัง) มันเป็นช่วงเวลาที่แสนพิเศษของเด็กๆ ในคาบูล อย่างที่คุณทราบ
เด็กที่นั่นไม่ค่อยมีความสุข พวกเขาทำงานตั้งแต่อายุ 5 ขวบ
ชีวิตยากลำบากมาก ตอนที่ผมบันทึกภาพเป็นช่วงเทศกาลซึ่งนานๆ ครั้งจึงจะจัด
ผมคุยกับเด็กเหล่านี้ ได้เห็นรอยยิ้มอันบริสุทธิ์ ได้สัมผัสถึงความสุขอันเปี่ยมล้น
นั่นทำให้ทุกครั้งที่ผมดูภาพนี้ ผมจะระลึกถึงความสุข และรู้สึกมีความสุข

“สิ่งที่ผมพยายามทำไม่ใช่รูปสวย แต่คือรูปที่ควรค่าแก่การจดจำ”

www.landrydunand.com

(จากคอลัมน์ a day with a view – a day 138 กุมภาพันธ์ 2555)

คลิกอ่านบทสัมภาษณ์อื่นๆ ได้ที่นี่
ตอนที่ 1

ภาพ ชนพัฒน์ เศรษฐโสรัถ

AUTHOR