ปีนี้สอนให้รู้ว่า “ทำทุกอย่างให้ดี เมื่อมองกลับมาจะได้ไม่เสียใจ” – แว่นใหญ่

Highlights

  • กรอบเวลาหนึ่งปีที่ผ่านมา โอ–โอฬาร ชูใจ หรือ แว่นใหญ่ ก้าวข้ามเหตุการณ์มากมาย ไม่ว่าจะเป็นการประกาศยุบวง Room39 การเจ็บป่วยถึงขั้นแอดมิต และการผันสู่การเป็นศิลปินเดี่ยวหรือ 'ศิลปินหน้าใหม่' อย่างที่เจ้าตัวนิยามไว้
  • ชีวิตเขาตอนนี้เหมือนฟ้าหลังฝน ทุกเพลงที่ปล่อยออกมาได้รับการตอบรับที่ดี แน่นอนสิ่งเหล่านี้เป็นผลพวงจากความตั้งใจและความจริงใจที่นักดนตรีที่ไม่เคยมั่นใจในตัวเองคนนี้ใส่เข้าไปในงาน
  • สิ่งที่เขาเชื่อมาเสมอคือ ไม่ว่ามีโอกาสทำอะไรเขาจะทำมันอย่างเต็มที่ที่สุด เพื่อที่ว่าเมื่อมองย้อนกลับมาจะได้ไม่เสียดายและเสียใจ ดังประโยคทิ้งท้ายที่ว่า "ผมว่าการมีชีวิตที่ไม่ค้างคาใจกับอะไรนี่คือที่สุดแล้ว"

เวลาเพียงหนึ่งปีจะเปลี่ยนชีวิตคนเราได้เท่าไหร่กัน

น้อยที่สุดของใครบางคนอาจจะแค่พบว่าตัวเองอายุมากขึ้นหนึ่งปี ผอมลง มีความสุขกับงานแบบทรงๆ แถมเงินเก็บที่เพิ่มขึ้นนิดหน่อย

กลับกัน มากที่สุดของใครบางคนอาจเป็นชีวิตทั้งชีวิตที่พลิกจากด้านหนึ่งไปสู่อีกด้าน

นึกย้อนกลับไปช่วงต้นปีที่ผ่านมา ข่าวการแยกตัวของวงดนตรีที่เป็นที่รักอย่าง Room39 คงเป็นหนึ่งเหตุการณ์ที่คนฟังเพลงรู้สึกเสียดายและอยากเอาใจช่วยทั้งคนที่จากไปและคนที่ยังอยู่อย่างมากถึงมากที่สุด

หากมองด้วยสายตาคนนอก เราเรียกปีนี้ว่าเป็นปีแห่งการเปลี่ยนแปลงของ โอ–โอฬาร ชูใจ หรือ แว่นใหญ่ พี่ใหญ่ของวงที่ตอนนี้ผันตัวสู่การเป็นศิลปินเดี่ยว หรือ ‘ศิลปินหน้าใหม่’ อย่างที่เจ้าตัวนิยามเอาไว้พร้อมเสียงหัวเราะและรอยยิ้มใจดีอันเป็นเอกลักษณ์

แม้จะถือว่าเป็นการนับหนึ่งใหม่ แต่ทุกบทเพลงที่เขาปล่อยให้แฟนเพลงได้ฟังในปีนี้ ไล่เรียงตั้งแต่ เจ็บจนพอ, ลืมไป, ไปได้ดี, หัวหิน และอีกหลายเพลงที่ร่วมเขียนและร้องกับคนอื่น แทบทั้งหมดขึ้นแท่นเป็นเพลงที่ได้รับความนิยมและประสบความสำเร็จด้วยความดีงามของตัวเขาเอง

แต่ขณะที่เอ่ยถามถึงฟ้าหลังฝนกับชายตรงหน้า เราค้นพบว่าเบื้องหลังกลับมีมากกว่าเรื่องสอนใจจากเหตุการณ์แยกวง กรอบเวลาหนึ่งปีที่ผ่านมาเขาป่วยหนัก พาลทบทวนเรื่องในชีวิตที่เคยผ่าน รวมถึงวันเวลาข้างหน้าและความสำคัญของคนรอบข้างที่เหลืออยู่

เวลาเพียงหนึ่งปีจะเปลี่ยนชีวิตคนเราได้เท่าไหร่กัน

และนี่คือคำตอบของชายคนนี้

ลึกๆ แล้วเสียดายไหมที่วันนี้เราไม่มี Room39 อีกต่อไปแล้ว

การเปลี่ยนแปลงเป็นเรื่องปกติ ตั้งแต่สมัยเริ่มมีวงดนตรี มีไม่รู้เท่าไหร่แล้วที่เขาแยกทางกัน วงเราไม่ใช่วงแรก แล้วโลกนี้ก็ไม่ได้มีอะไรมาบังคับว่าวงเราจะเป็นแบบนั้นไม่ได้ เราอยู่ในกฎเกณฑ์ของธรรมชาติเหมือนกัน อย่างคู่รักที่แยกทางหรือคนที่แต่งงานแล้วหย่าร้างกันมันเป็นเรื่องธรรมดาของชีวิตมนุษย์ ไม่ผิดแปลกอะไรเลย เหมือนฝนตก ฟ้าร้อง เราห้ามอะไรไม่ได้หรอก

ถ้าถามตอนนี้ผมตอบเลยว่าไม่เสียดาย เพราะผมมั่นใจว่าระหว่างทางที่เดินมาเราพยายามกันมากๆ ถ้าอยู่ด้วยกันจะรู้ว่าเราพยายามกันมากแค่ไหน ผมเชื่อว่าตลอดเวลาที่ผ่านมาหรือทุกเรื่องที่ผมทำผมตั้งใจทำมันอย่างเต็มที่แล้วจริงๆ เวลาที่มองกลับไปเลยไม่รู้สึกว่าเสียดายหรือเสียใจอะไร ไม่ใช่แค่เรื่องวง แต่เป็นทั้งเรื่องงาน เรื่องคนรอบตัวด้วย

 

เรียกว่าเป็นคนที่เต็มที่กับทุกเรื่องมาแต่ไหนแต่ไรได้ไหม

ผมว่าผมไม่ได้เต็มที่สมัยวัยรุ่นมาก มันเหมือนเราเริ่มคิดได้มากขึ้นเรื่อยๆ ดีกว่า อย่างชีวิตมหาวิทยาลัย 4 ปีที่เราจะได้ตีลังกา เรียน และทดลองใช้ชีวิตไปด้วย มันมีได้แค่ครั้งเดียวจริงๆ ผมในวัยนั้นมีบางสิ่งบางอย่างที่ไม่ได้ทำหรือเป็นอย่างที่เราคิดว่าควรจะเป็น ตั้งแต่นั้นเลยรู้สึกว่าอยากทำอะไรถ้าทำได้ทำเลย ยิ่งพออายุเยอะขึ้นแล้วก็ยิ่งรู้สึกว่าเวลาเหลือน้อย ถ้ามีโอกาสได้ลองอะไรลองเลย อย่างน้อยก็จะได้รู้ว่ามันไม่ใช่ 

เคยมีสักแวบที่กลัวว่าตัวเองจะทำงานได้ไม่ดีเท่าเดิมบ้างไหม

ด้วยความที่ตอนทำวงผมทำเป็นหลักอยู่แล้ว ตอนนี้ผมก็ยังทำเหมือนเดิมแหละ เหมือนผัดกะเพราที่เราทำรสชาติก็เหมือนเดิม แต่เราอาจจะตามใจตัวเองได้มากขึ้นนิดหนึ่ง แต่ถามว่าอร่อยกว่าเดิมไหมหรือคนกินเยอะเหมือนเดิมหรือเปล่า อันนั้นเป็นสิ่งที่ไม่รู้ สิ่งที่ผมรู้คือเราทำได้ แต่ไม่เคยมั่นใจว่ามันจะสำเร็จเลยนะ ไม่มีความมั่นใจตรงนั้นเลย

ผมเป็นอย่างนี้มาตั้งแต่สมัยเขียนเพลงครั้งแรกๆ ไม่มีความมั่นใจในผลงานตัวเองเลย ส่วนหนึ่งคือเราอยู่กับเพลงมานาน เราไม่รู้หรอกว่ามันดีหรือไม่ดี และเราชอบทุกเพลงที่ตัวเองทำ พอจะปล่อยเพลงสักเพลงก็ต้องอาศัยคนรอบข้างอย่างทีมงานหรือน้องๆ ฝึกงานมาช่วยฟัง สมมติทำมา 5 เพลง ผมถามความเห็นทุกคนเลยว่าเขาชอบเพลงไหนกัน เจ็บจนพอ เป็นเพลงแรกที่น้องๆ ช่วยกันโหวตเลย

ผมยังเหมือนเดิม คงคอนเซปต์เดิม คือไม่เคยมั่นใจอะไร (หัวเราะ) แล้วผมก็รู้สึกดีที่ตัวเองยังรู้สึกแบบนี้อยู่ เพราะถ้าเมื่อไหร่ที่ผมรู้สึกว่า เฮ้ย มั่นใจมาก ผมว่าอันนั้นเป็นประตูไปสู่อะไรบางอย่างที่มันไม่ใช่

 

เคยทบทวนหาคำตอบไหมว่าทำไมเราถึงเป็นคนไม่มั่นใจในตัวเอง

เพราะมันเป็นเราแหละ ผมเป็นเด็กที่ไม่มีความมั่นใจในตัวเอง เวลาเรียนก็นั่งหลังห้องเงียบๆ แล้วก็เป็นคนที่กลัวการมีปฏิสัมพันธ์กับผู้คน กับเพื่อนผู้หญิงนี่ผมแทบไม่คุยเลย พอโตมาก็ค่อยๆ เข้าใจมากขึ้น แต่ไม่ได้หมายความว่าพอเข้าใจแล้วเราจะหายไปจากสิ่งเหล่านั้นนะ แค่รู้จักตัวเองมากขึ้น ค่อยๆ เอาชนะบางอย่างได้มากขึ้น

มีครั้งหนึ่งเคยสงสัยว่าทำไมเราไม่กล้าคุยกับผู้หญิงเลยนะ (หัวเราะ) ด้วยความที่เราเรียนเกี่ยวกับจิตวิทยาเลยพยายามหาสาเหตุ ย้อนกลับไปตอนเด็กผมมีพี่สาว 3 คนที่โตกว่า ในขณะที่เขาเล่นกับเพื่อนเขาอีกหลายคน แล้วทุกครั้งที่เราเข้าไปเล่นด้วยไม่แปลกที่เด็กผู้ชายอย่างเราจะถูก reject ออกมา 

ตอนนั้นเราไม่เข้าใจที่ตัวเองถูกกีดกัน เหมือนกับเรียนรู้เงื่อนไขอย่างอัตโนมัติว่าไม่ควรไปยุ่งกับเพศตรงข้าม หลังจากเข้าใจว่า อ๋อ เราเป็นอย่างนี้ เราอยากแก้มันว่ะ แล้วก็ใช้เวลาในการเอาชนะความกลัวตรงนั้นนานมากตอนมหา’ลัย จนวันหนึ่งก็ตัดสินใจเดินเข้าไปคุยกับผู้หญิงที่เราชอบ เดินไปบอกเขาตรงๆ แล้วผู้หญิงเขาก็งงๆ (หัวเราะ) แต่ท้ายที่สุดเราก็มองว่ามันคือการเปิดโอกาสให้ตัวเองทำในสิ่งที่ไม่เคยทำ ซึ่งดีนะ แต่ทุกวันนี้ผมก็ยังรู้สึกไม่มั่นใจอยู่ดี 

มองเห็นอะไรบ้างจากการทำงานที่เหลือเราแค่คนเดียว

จริงๆ มันมีทั้งข้อดีและข้อเสียนะ ข้อดีคือเมื่อก่อนเราทำไร่สวนผสม เราปลูกข้าวปลูกนั่นปลูกนี่เพราะเราแชร์พื้นที่กัน แต่วันนี้มันเหมือนมีพื้นที่ให้เราทดลองหรือเจอความผิดพลาดของตัวเองมากขึ้น ส่วนข้อเสีย แน่นอนมันโดดเดี่ยว ว้าเหว่บ้างบางเวลา

เราบอกตัวเองว่าเราเป็นศิลปินหน้าใหม่ เราพยายามบอกตัวเองอย่างนั้น เพราะในเวย์หนึ่งเราจะไม่กดดันตัวเองไปกับการทำงานมาก แต่ลึกๆ แล้วมันก็ยังมีอีกหนึ่งความกดดันอยู่ ใช่ เราไม่ใช่ศิลปินหน้าใหม่จริง เรามีนักดนตรี มีทีมงาน ที่เขาอยู่กับเรามาตั้ง 6-7 ปี พูดตรงๆ คือเราต้องซัพพอร์ตพวกเขา ถ้าเราไม่สามารถทำให้วงกลับมามีงานได้ นั่นแปลว่าทุกคนก็จะลำบากไปด้วย

แต่ถ้าในเรื่องของการทำเพลงมันมีหลายอารมณ์มากเลย ผมทำใจไว้เลยว่ามันจะไม่ได้เท่าเดิมแน่นอน มันไม่มีอะไรเหมือนเดิม คนอาจจะยังไม่รู้จัก ‘แว่นใหญ่’ ด้วยซ้ำ ผมพยายามลดความคาดหวังลงมาให้น้อยที่สุด ถ้าฟีดแบ็กดีกว่าที่คิดเราก็ยินดี แต่ไม่ได้ฟูฟ่องอะไรกับมัน

ความรู้สึก ‘ฟูฟ่อง’ ที่ว่ามันเป็นยังไง

มันคือความรู้สึกที่เราเคยผ่านมา ช่วงที่เราเพิ่งกลับมาจากเมืองนอกแล้วคนให้ความสนใจมาก เพราะมันเป็นโลกที่เราไม่เคยเจอ เราทำตัวไม่ถูกแล้วก็เผลอไปฟูฟ่องกับมัน รู้สึกว่าตัวเองสำคัญ แต่วันนี้เรารู้แล้วว่าความสำคัญมันเปลี่ยนแปลงไปเรื่อยๆ แล้ววันหนึ่งเราก็ไม่สำคัญอีกต่อไป อย่างที่เขาบอกว่าเวลาขึ้นเราก็ขึ้น แต่ถ้าเราขึ้นแล้วลงไม่เป็นเราก็จะทุกข์ งั้นเรากลับมาเป็นตัวเราแบบเดิมดีกว่า ไม่ว่าใครจะมองว่าเราสำคัญหรือไม่สำคัญเราเป็นแค่นี้แหละ

พอมีคนให้รางวัลผมขอบคุณแหละ แต่ผมจะไม่ดีใจกับตรงนั้นมาก เพราะผมถือว่ามันเป็นเรื่องของความเห็นคนอื่นที่เขาคิดว่าเราควรจะได้ มันไม่ใช่ความเห็นของตัวเราเอง วันหนึ่งที่บอกตัวเองว่าเราควรได้รางวัลแล้วเราไม่ได้ เราจะรู้เองว่าท้ายที่สุดเรื่องแบบนี้มันไม่ได้อยู่ที่เราเลย ถ้าเราไม่ไปอะไรกับมัน มันสบายใจมากกว่า แฮปปี้กว่า เหมือนการทำเพลงทุกวันนี้ที่ไม่รู้เลยว่าใครชอบหรือไม่ชอบ เรามีหน้าที่แค่ทำก็ทำไป แต่ทุกเพลงที่ปล่อยออกมาเราก็ต้องทำให้มันออกมาดีที่สุด ถ้ามันไปได้ดีก็ดีใจ แต่ถ้ามันไม่ดีเราก็ดีใจที่ได้ทำมันออกมาอยู่ดี

นอกจากเพลง ไปได้ดี มีเรื่องไหนที่ทำให้ความดีใจมันเพิ่มขึ้นบ้าง

มีงาน สำหรับผมความหมายของมันคือทีมงานหลายสิบชีวิตของเราเขาอยู่ได้ มีงานทำ เพราะทุกคนมีครอบครัว มีภาระที่ต้องแบกรับ ถ้าในเรื่องการทำงานผมดีใจตรงนี้มากที่สุดแล้ว

แต่ถ้าเป็นเรื่องผลงาน ผมมีความสุขเสมอเวลามีคนเดินมาบอกว่าเพลงของเราทำให้เขาคิดอะไรขึ้นมาได้สักนิดหนึ่งหรือมีผลให้เขาเปลี่ยนอะไรสักอย่างในชีวิต อย่างเพลง ลืมไป เอาจริงๆ เราไม่คิดว่ามันจะมีประโยชน์กับคนอื่นเลยนะ แต่ช่วงที่ปล่อยเพลงมีหลายคนส่งข้อความเข้ามา บางคนย้ายกลับไปอยู่บ้านต่างจังหวัดกับครอบครัวเพราะรู้สึกว่าตอนนี้พ่อแม่อาจจะเหลือเวลาอยู่กับเราไม่มากแล้ว ผมเลยหวังตลอดว่าผลงานที่ผมทำออกไปมันจะช่วยอะไรใครได้บ้างสักนิดหนึ่ง แค่นี้ผมก็มีความสุขแล้ว

เชื่อหรือเปล่าว่าตัวเองเป็นคนที่เข้าใจการเปลี่ยนแปลงเอามากๆ

ผมพยายามเป็นอย่างนั้น ในการรับมือกับความเปลี่ยนแปลงบางอย่างเราคิดว่าเราแข็งแรงแล้วนะ ความจริงเรื่องบางเรื่องก็รับมันไม่ไหวเท่าไหร่ มันมีหมดแหละครับ แต่ด้วยความพยายามในการเข้าใจชีวิต ผมจะไม่ไปทุกข์ตามมันจนทำให้ตัวเองเป็นทุกข์ไปมากกว่าเดิม

 

อย่างวันที่รู้สึกแย่ อะไรคือสิ่งที่ช่วยให้คุณรู้สึกดีขึ้น

ผมมีแมว 2 ตัว (หัวเราะ) เวลากลับบ้านแล้วเจอแมวผมจะรู้สึกว่าชีวิตมันก็ไม่แย่ขนาดนั้น มันเป็นสิ่งมีชีวิตที่ดีในชีวิตเรานะ แบ่งเบาความรู้สึกผมไปได้ 30 เปอร์เซ็นต์เลย ผมรู้สึกอย่างนั้น

อย่างที่บอกว่าเวลาที่ผมย้อนกลับไปมองอะไรก็ตามที่เกิดขึ้นในอดีต ผมจะไม่ค่อยรู้สึกเสียดายที่ตัวเองไม่ทำอีกแบบหนึ่ง ผมรู้สึกว่ามันก็ถูกแล้วที่เราทำไปอย่างนั้น แล้ววันนี้เราก็เป็นอย่างนี้กับหลายๆ เรื่องเลยไม่ใช่แค่เรื่องวงอย่างเดียว ถ้าให้นึกว่าตอนนี้ผมเป็นทุกข์เรื่องอะไรอยู่ผมนึกไม่ออกเลยนะ (ยิ้ม) ถ้าคิดว่ามันถูกแล้ว เราก็แค่ทำสิ่งที่ต้องทำในเวลานี้ต่อไป แค่นั้นเอง

หมวกอีกใบที่คุณสวมคือผู้บริหารค่ายเพลงน้องใหม่อย่าง HolyFox เล่าที่มาที่ไปให้ฟังหน่อยได้ไหม

จริงๆ HolyFox เป็นโปรเจกต์ที่เราเคยคุยกันไว้ตั้งแต่เป็น Room39 เพราะผู้บริหารเห็นเราทำงานตัวเองมากสักพักใหญ่แล้วเลยอยากให้โอกาสได้ลองดูแลน้องๆ บ้าง พอเราแยกย้ายกัน ผมไม่อยากให้สิ่งที่เราช่วยกันคิดไว้มันสูญเปล่า ก็เลยตัดสินใจเดินหน้าทำต่อ ซึ่งบางทีก็คิดขึ้นมาในใจนะว่า นี่เราคิดผิดหรือเปล่าวะ (หัวเราะ) เพราะการดูแลคนหลายๆ คนให้ดีมันไม่ใช่เรื่องง่ายเลย

ขอพูดตรงๆ เลยว่า ผมยังอยู่ในช่วงล้มลุกคลุกคลานอยู่เลย คือที่ผ่านมา LOVEiS ยังเป็นหลังบ้านที่คอยซัพพอร์ตผมอยู่ แต่หวังว่าเฟสต่อไปเราก็อยากจะยืนบนขาตัวเองมากขึ้น บางคนเรียกผมว่าผู้บริหาร ซึ่งผมมองว่าผมไม่ใช่ผู้บริหารเลยนะ ถ้าเป็นผู้บริหารจริงคงใส่สูทเดินเข้ามาแล้ว (หัวเราะ) แต่นี่เราทำทุกอย่างเหมือนช่วยน้องๆ ทำงานตั้งแต่ต้นจนจบ ช่วยคิด ช่วยทำเพลง ถ่ายเอ็มวีก็ไป ก็เป็นสิ่งที่กำลังเรียนรู้กับมันอยู่ สนุกด้วย เหนื่อยด้วย ท้อด้วย ปนเปสัพเพเหระมาก

ในบรรดาเรื่องใหม่ๆ ที่ได้เรียนรู้ คุณคิดว่าเรื่องไหนทำคุณใจเต้นมากที่สุด

จะเรียกว่าใจเต้นได้ไหมไม่รู้ แต่การดูแลเรื่องเงินด้วยผมว่ามันเพิ่มภาวะความตึงเครียดให้ผมเสียมากกว่า แน่นอนการลงทุนมันต้องมีผลกำไรกลับเข้ามา แล้วคำที่เขาบอกกันมาว่า ‘ธุรกิจทำลายศิลปะ’ จริงๆ ผมเห็นด้วยนะ (หัวเราะ) ยิ่งผมมีหมวกหลายใบ ตอนที่เป็นศิลปินเราอยากจะใช้งบเท่านี้ จะทำอย่างนี้ อยากได้นั่นได้นี่ใช่ไหม แต่พอเปลี่ยนมาเป็นผู้บริหาร (เปลี่ยนน้ำเสียงพูด) เฮ้ย เดี๋ยวก่อน คุณดูนี่ก่อนสิ จะบ้าเหรอ อย่างนี้ไม่ได้นะ อะไรแบบนี้ 

หรือบางวันผมต้องเป็นโปรดิวเซอร์ประคับประคองศิลปินด้วย คือพอมีหมวกหลายๆ ใบมันโอเคถ้าเราถอดมันทัน แต่บางทีเราถอดไม่ทัน กลายเป็นว่าในหัวเราเหมือนคนบ้าคุยกันเอง (หัวเราะ) เอาเป็นว่ามันยังเป็นเรื่องที่ผมต้องเรียนรู้และทำความเข้าใจอยู่ รอดูกันต่อไป

จำได้ว่าตอนแยกวงใหม่ๆ คุณนิยามว่าเป็นการออกจากเซฟโซน แล้วตอนนี้เจอเซฟโซนใหม่ของตัวเองแล้วหรือยัง

ผมเองก็ไม่รู้เหมือนกัน อย่างเมื่อก่อนผมมองว่า Room39 ปล่อยเพลงปุ๊บ ไม่ว่ามันจะดีไม่ดียังไงก็จะได้การตอบรับที่ดีประมาณหนึ่งแน่ๆ

 

ยอดวิวหลักสิบล้านต้องได้แน่

ใช่ ต้องได้แน่นอน นี่แหละคือเซฟโซน แต่วันนี้มันเหมือนกับว่าเราต้องวัดด้วยผลงาน มันเป็นสิ่งเดียวที่ตอบได้ว่าเราจะเป็นยังไงต่อไป ผมไม่รู้หรอกว่าแว่นใหญ่จะเป็นยังไงต่อ แต่เมื่อยังมีงาน มีคนที่เราต้องดูแลอยู่ เราก็ต้องทำ มันเป็นความลุ้น ความตื่นเต้น ระหว่างทางที่ให้ความสุขเราประมาณหนึ่ง

จะว่าไปแล้วมันพูดยากเหมือนกันนะ ผมแค่รู้สึกดีที่ได้ทำแบบนี้ หากวันหนึ่งผมเข้าใจมันมากกว่านี้ ผมอาจจะหาคำนิยามของเซฟโซนได้ชัดเจนขึ้น ตอนนี้ยังบอกไม่ได้หรอกว่ามันคืออะไร แต่เป็นการออกจากเซฟโซนที่รู้สึกดี เป็นความกลัวที่คุ้มค่าที่ได้กลัว

แทบทุกเพลงของแว่นใหญ่ขึ้นหลักสิบล้าน ร้อยล้านก็ได้มาแล้ว มันพิสูจน์อะไรบางอย่างในใจไหม

ไม่รู้เหมือนกัน ผมว่ามันคาดเดาอะไรไม่ได้ เอาจริงๆ เพลง ลืมไป เป็นเพลงที่ไม่เกี่ยวกับความรัก ไม่ใช่เพลงวัยรุ่น  ไม่ใช่อะไรเลย ตอนทำเพลงนี้ผมแค่ตั้งโจทย์ว่าถ้าจะตายแล้วจะบอกอะไรคนอื่นก่อนดี แล้วช่วงนั้นรู้สึกว่าบอกแบบนี้แล้วกัน

ย้อนกลับไปตอนเด็กๆ ผมชอบฟังเพลงที่ให้ข้อคิดอะไรแบบนี้ แล้วเพลงแนวนี้ก็เลือนหายไปจากสังคมไปตอนไหนก็ไม่รู้ สำหรับผมเพลงนี้ไม่ฮิตไม่เป็นไร ช่างมันเลยอะ มีคนสิบคนฟังแล้วมันสะกิดอะไรในใจเขาได้ แค่นี้ผมพอแล้ว

 

ทำไมจู่ๆ ถึงคิดเรื่องความตายขึ้นมา

ก่อนหน้านี้ผมเป็นคนที่แข็งแรงมาตลอด วิ่งสิบกิโลฯ ทุกวัน แต่ปีที่แล้วผมเริ่มรู้สึกว่าตัวเองป่วยมาเรื่อยๆ ไปตรวจตั้งหลายโรงพยาบาลหาสาเหตุไม่ได้ เราป่วยแต่การใช้ชีวิตยังเหมือนเดิม วันหนึ่งแข้งขาก็ไม่มีแรง ทำอะไรได้ไม่เหมือนเดิม แย่จนต้องแอดมิตเพราะหัวใจผมเต้นช้าลง ตอนนั้นมันฉุกให้ผมคิดว่าเรายังมีหลายอย่างในชีวิตที่ยังไม่ได้ทำ ผมเริ่มรู้สึกถึงมันจากตรงนี้

ช่วงก่อนที่เราจะแยกวงมันมีโชว์หนึ่งที่ผมคิดว่ามันอาจเป็นโชว์สุดท้ายในชีวิตแล้ว บางทีไปยืนเล่นๆ อยู่น้ำตาจะไหล ขอบคุณแฟนๆ ทุกคนมากเลย ดีใจมากที่พวกเขามาดู ผมรู้สึกอย่างนั้นจริงๆ ซึ่งความรู้สึกเหล่านั้นมันไม่ได้ทำให้ผมกลัวความตาย แต่มันทำให้ผมรู้สึกว่า เออว่ะ มันมีอะไรในชีวิตที่เรายังไม่เต็มที่กับมันหรือเปล่า แล้วสิ่งที่ยังไม่ได้ทำตอนนั้นก็คือบวช หลังจากป่วยแล้วกลับมาทำเพลงสักพัก ผมลาไปบวชหนึ่งเดือนเต็ม ก่อนที่จะกลับมาทำงานต่อ เอาจริงๆ ผมก็ไม่รู้ว่าที่ผ่านมาผมเรียนรู้สิ่งที่ตัวเองควรได้เรียนรู้มากแค่ไหน ผมรู้แค่ว่าผมได้ทำในสิ่งที่ตัวเองอยากจะทำ

แล้วทุกครั้งที่อยู่กับแม่ อยู่กับครอบครัว อยู่กับแมว ผมเลือกที่จะใช้เวลาเหล่านั้นให้เต็มที่ กอดมันอย่างเต็มที่ เราอาจจะไปตอนอายุเท่าไหร่ไม่รู้ หรืออาจจะเป็นพรุ่งนี้ก็ได้ไม่มีใครรู้เหมือนกัน แต่อย่างน้อยก็เต็มที่แล้ว นั่นคือสิ่งที่ผมรู้สึกอยู่

สุดท้ายแล้วชีวิตในปีที่หนักหน่วงอย่างปีนี้มันสอนอะไรคุณบ้าง

(นิ่งคิด) เราคิดว่าตอน 25 มาจน 30 เราเจอนู่นเจอนี่ ผ่านประสบการณ์มาเยอะแยะมากมายแล้ว เราคิดว่าเราเข้าใจทุกอย่างแล้วไม่ว่าจะทั้งผู้คนหรืออะไรก็ตามที่เกิดขึ้น ปีนี้ผม 39 แล้ว หลายสิ่งที่ผมเจอในวัยนี้มันสอนว่า สิ่งที่เราเคยคิดว่าเจอมาแล้วมันจะวนกลับมาให้เจออีกเสมอ แต่ผมรู้สึกว่าต่อให้เหตุการณ์แบบเดิมวนกลับมามันไม่มีอะไรเหมือนเดิมหรอก เพราะเราในวัยนี้ก็คงจะรับมืออีกแบบหนึ่ง ตัวเราเองยังไม่เหมือนเดิมเลย

แล้วก็เรียนรู้ว่าเวลามีน้อย เพราะเราไม่รู้หรอกว่าโอกาสที่อยู่ตรงหน้าเราตอนนี้จะเป็นโอกาสสุดท้ายหรือเปล่า และก็แน่นอนเราควรทำมันให้ดีที่สุด ต่อให้มีโอกาสได้ทำมันอีกหรือไม่มีแล้วก็ตาม สุดท้ายแล้วเราจะไม่เสียใจ 

ผมว่าการมีชีวิตที่ไม่ค้างคาใจกับอะไรนี่คือที่สุดแล้วนะ (ยิ้ม)

AUTHOR

PHOTOGRAPHER

ชนพัฒน์ เศรษฐโสรัถ

ช่างภาพนิตยสาร a day ที่เพิ่งมีพ็อกเก็ตบุ๊กเล่มใหม่ชื่อ view • finder ออกไปเจอบอลติก ซื้อสิ ไปซื้อ เฮ่!

วริทธิ์ โพธิ์มา

รักหมูกรอบ และข้าวมันไก่