โอ๊ต มณเฑียร : ศิลปินนักเล่าเรื่องความสัมพันธ์แสนสวยงามผ่านงานศิลปะและตัวหนังสือ

หลายคนคุ้นชื่อและงานเขียนของ โอ๊ต
มณเฑียร
ในนิตยสาร a day จากคอลัมน์ london
scene และ london museums ที่พาไปเปิดโลกศิลปะสุดแหวกแนวของลอนดอน
เมืองที่สร้างสรรค์ที่สุดในโลก แถมยังโดดไปทำภาพประกอบสวยๆ ให้คอลัมน์ เรื่องเล่าสาววินเทจ
อีก ในฐานะคนอ่าน เราชื่นชมตัวหนังสือของเขาเพราะมันช่างอ่านสนุก จัดจ้าน
และจริงใจ แถมยังอิจฉาพลังงานในตัวโอ๊ตที่ขยันเก็บเรื่องเล่าสนุกๆ จากงานปาร์ตี้
พิพิธภัณฑ์ หรือผู้คนที่เขาพบเจอมาให้อ่านกันต่อเนื่อง จนเรานึกอยากมีบทสนทนากับเขาบ้างสักครั้ง

โชคเข้าข้างเมื่อเราได้โอกาสแวะไปหาโอ๊ตที่สตูดิโอของเขาย่านดอนเมือง
ห้องสี่เหลี่ยมเล็กๆ เต็มไปด้วยภาพวาด หนังสือเก่า และของตกแต่งที่เขาสะสมมาจากการเดินทางและใช้ชีวิตที่ลอนดอนกว่า
6 ปีเรียงรายคล้ายเป็นพิพิธภัณฑ์ความทรงจำส่วนตัวขนาดย่อมๆ ก็ยืนยันกับเราว่าเขามีเลือดศิลปินอยู่เต็มเปี่ยม
ยิ่งเมื่อพูดคุยกัน เราพบว่าโอ๊ตยังสนใจการใช้ชีวิตให้เป็นศิลปะ ไม่เว้นแม้กับเรื่องความสัมพันธ์

บทเพลงโอเปร่าจากแผ่นไวนิลที่เปิดอยู่
กลิ่นกำยาน และแสงแดดยามสาย…บทสนทนาระหว่างเรากับโอ๊ตเริ่มต้นอย่างนั้น

เราเห็นโอ๊ตทำอะไรหลายอย่างมาก อย่างล่าสุดก็เปิดเวิร์กช็อปสอนวาดรูปนู้ดผู้ชาย
เล่าให้ฟังหน่อยว่าตั้งแต่กลับมาไทย ทำอะไรอยู่บ้าง

ตอนนี้หลักๆ เราสอนวิชา Art Appreciation ที่มหาวิทยาลัยกรุงเทพ
และวิชา Storytelling ให้กับหลักสูตร CommDe ภาควิชาการออกแบบอุตสาหกรรม จุฬาฯ นอกจากนี้ก็ไปสอนให้มหาวิทยาลัยศิลปากรบ้าง ลาดกระบังบ้าง เราเกิดวันพฤหัสบดีน่ะ ดวงบอกว่ายังไงก็ต้องเป็นครู
น่าเบื่อเนอะ

นอกจากงานสอนที่มหาวิทยาลัยแล้ว ก็มีสอนวาดรูปนู้ดผู้ชายที่สตูดิโอ ทำงานเขียน งานวาดภาพประกอบ เป็นนักร้องเพลงแจ๊ซตามผับบาร์ และช่วยออกแบบแผนการศึกษาให้พิพิธภัณฑ์อย่างหอศิลปวัฒนธรรมแห่งกรุงเทพมหานครและมิวเซียมสยาม ทั้งหมดทั้งปวงเราเรียกตัวเองว่านักเล่าเรื่อง เพราะถึงงานจะหลากหลายแต่ก็คือการเล่าเรื่องแค่ผ่านสื่อต่างกัน เช่น รูปภาพ งานเขียน หรือเสียงเพลง เรื่องที่ชอบเล่าก็คือเรื่องผู้ชาย ความรัก ความสุนทรี อกหักร้าวราน ซ้ำซาก น้ำเน่า มีอะไรอีกล่ะชีวิต

เพราะอย่างหนังสือเล่มล่าสุดของโอ๊ต
Paris Souvenir ก็ค่อนข้างชัดเจนว่าพูดเรื่องความรัก
แถมมีซีนอีโรติกหน่อยๆ ด้วย

จริงๆ ไม่หน่อยหรอก แต่โดนบรรณาธิการเล่มคือพี่ก้อง (ทรงกลด บางยี่ขัน) เซนเซอร์ไปเยอะ ด้วยภาพลักษณ์อาจารย์ของเรา เราเป็นคนสนใจเรื่องความรักอยู่แล้วในบริบทต่างๆ ซึ่งเล่ม London Scene ก็มีเรื่องความรักแต่อาจจะซ่อนอยู่ใต้เส้นเรื่องหลักที่พูดถึงซีนสร้างสรรค์ในลอนดอน
แต่เล่มนี้ ความรักกลายมาเป็นเส้นเรื่องหลัก มันส่วนตัวกว่ามากๆ และเปิดใจเขียนจริงๆ ทั้งความรักที่มีต่อประวัติศาสตร์ศิลปะในการไปตาม 3 มูฟเมนต์ในดวงใจที่ปารีส คือ อาร์ตนูโว เซอร์เรียลลิสม์ และอิมเพรสชันนิสม์ ผสมไปกับความรักของพี่สาวที่ไปแต่งงานกับผู้ชายฝรั่งเศส
รวมถึงความรักความสัมพันธ์ของเรากับแฟนที่ไปด้วยกัน เป็นโปรเจกต์พิเศษจากใจจริงๆ

ขอย้อนกลับไปลอนดอนหน่อย
ทำไมตอนนั้นเลือกไปเรียนด้านภาพประกอบที่ลอนดอน มันแตกต่างไหมกับการไปเรียนศิลปะที่อื่นอย่างฝรั่งเศสหรืออิตาลี

เราชอบลอนดอนอยู่แล้ว ถึงลอนดอนจะเป็นเมืองเก่ากว่า 2,000 ปี
แต่สิ่งที่อิตาลี ฝรั่งเศส หรือที่อื่นๆ ไม่มีคือความขบถ! ลอนดอนมีความพังก์อยู่ใน DNA ของมัน อย่างแฟชั่นของวิเวียน เวสต์วู้ด ที่กล้าตัดฉีกทุกอย่าง หรือพอล สมิธ ก็เอาสูททรงทางการมาใส่ลายสีสันฉูดฉาดข้างใน ไปจนถึงวงดนตรีอย่าง Sex Pistols เสน่ห์ของลอนดอนที่เราชอบมากคือเขาเข้าใจประวัติศาสตร์ตัวเองและกล้าที่จะบิดมัน เอาสิ่งเก่ามาผสมสิ่งใหม่ ความขบถนี้เป็นส่วนหนึ่งของวัฒนธรรมอังกฤษไปแล้ว สิ่งที่คนนิยามว่าคลาสสิกอย่าง ออสการ์ ไวลด์ ก็ยังถูกจับข้อหาเป็นเกย์ มาจนถึงศิลปินในกลุ่ม YBA (Young British Artists) อย่าง เทรซี เอมิน ที่เอาเตียงตัวเองมาแสดงในหอศิลป์ มีความพีกอยู่ตลอดทั้งที่ดูเป็นเมืองผู้ดี ซึ่งมันดีมากสำหรับการเรียนดีไซน์ แต่แน่นอนว่าลอนดอนก็จะไม่มีคอลเลกชันที่ปารีสมี อย่างภาพวาดโมนาลิซ่า
หรือภาพจากกลุ่มอิมเพรสชันนิสม์ใน Musée d’Orsay เป็นต้น

เรื่องราวสนุกๆ
ที่เอามาเล่าในคอลัมน์
london
scene กับ london museums มักมาจากการเอาตัวเองพาไปเจอผู้คนหรือสถานการณ์ต่างๆ
อะไรทำให้โอ๊ตเป็นคนพุ่งออกไปเจอผู้คนมากมายได้ขนาดนั้น

เราพุ่งเหรอ อาจเพราะลอนดอนมีอะไรให้เจอเยอะด้วยมั้ง
พอต้องเขียนคอลัมน์ก็เลยเป็นข้ออ้างว่าเราต้องพุ่งไปหาคนนู้นคนนี้
ทำให้เราได้ใช้ชีวิตในลอนดอนอย่างเต็มที่เหมือนกัน อืม จะเล่าอะไรให้ฟังดี
(นิ่งคิด) โอเค ตอนเด็กเราเป็นเด็กอ้วนที่สุดในโรงเรียน ใส่แว่น
และไม่มีเพื่อนคบเพราะโดดยางก็ไม่ได้ เตะบอลก็ไม่เป็น ทีนี้พอเวลาจะหาเพื่อน
เราจะวาดรูป เพราะทุกคนจะตื่นเต้นว่าเราวาดรูปได้ การสร้างความสัมพันธ์ผ่านการวาดรูปเลยเป็นอันหนึ่งอันเดียวกับเราตั้งแต่ไหนแต่ไร

ตัดภาพมาที่ลอนดอน
เราคบกับแฟนคนหนึ่งแล้วเลิกกัน เคยไหมเวลาคบใครนานๆ แล้วตัวตนเราหายไป
กลายเป็นอีกคน เราเลยอยากกลับมาเป็นตัวเองอีกครั้ง อยากสร้างความสัมพันธ์อีกครั้ง
เรียนรู้ตัวเองและเรียนรู้คนอื่นด้วย ตอนนั้นคิดอย่างเดียวเลยว่าต้องวาดรูป
เลยกลายเป็นโปรเจกต์ภาพวาดผู้ชายซึ่งเรากำลังเตรียมจัดนิทรรศการอยู่ เจอผู้ชายคนไหนที่ชอบก็จะขอวาดรูปเขาเลย
บอกไปว่า ‘Hi I’m an artist, Would you like to be my model?’ ทวีคูณความพุ่งเข้าหาคนที่สุดในชีวิต (หัวเราะ)

เราพบว่าเวลาวาดภาพ มันมีพลังงานบางอย่าง ความอีโรติกในการเปลือยกายของการเพิ่งเจอคนแปลกหน้าครั้งแรก มีครั้งหนึ่งที่เราวาดช่างภาพโปรตุเกสซึ่งเขาเคยถ่ายรูปเราไว้นานมากแล้ว
พอมาเป็นแบบให้ เขาก็คุยเยอะมาก จะวาดก็วาดไม่ได้ เลยบอกให้เขาถอดเสื้อ พอถอดปุ๊บ
เขาเหมือนกลายเป็นคนละคน นิ่งมาก แปลกดีที่คนเราเวลารู้สึกตัวว่าถูกมองมักจะเปลี่ยนไปเลยความแย่คือเราก็วาดไม่ได้ เพราะไม่เห็นเป็นรูปทรง แต่เห็นเป็นเซ็กซ์! รูปที่ออกมาเลยเป็นเส้นขมุกขมัวไปหมด แต่พอมองกลับไป เส้นในรูปมันจับช่วงเวลานั้นไว้ดีเลยล่ะ อาจไม่ได้ออกมาสวยเหมือนจริงแบบภาพถ่าย แต่ภาพวาดมันเก็บอารมณ์บางอย่างไว้ได้ จากนั้นมา แทนที่จะวาดรูปแค่สวยๆ เราหันมาสนใจพลังงานที่กำลังถ่ายเทอยู่ ณ ขณะนั้น และสภาวะในตัวเราด้วย อันนี้เป็นเนื้อหาหลักของเวิร์กช็อปวาดรูปนู้ดที่เราสอน

การวาดรูปมี 4
อย่างที่ทำงานพร้อมกัน คือสายตา สมอง มือที่วาดออกไป และจิตใจที่ตระหนักรู้สิ่งที่กำลังเกิดขึ้นอยู่
ถ้าผู้ชายโป๊อยู่ตรงหน้า ตัวเราเปลี่ยนไปยังไง ถ้าเมาๆ
อยู่แล้วมันทำให้เราวาดรูปออกมายังไงบ้าง ความสัมพันธ์ระหว่างเรากับคนที่ถูกวาดก็อยู่ในนี้
ตอนนั้นเลยเริ่มสนใจเรื่องการสร้างความสัมพันธ์ผ่านเส้น
แต่ก่อนจะเห็นเราวาดจากรูปถ่ายซะเยอะ แต่ถ้าวาดจากคนมันมีมิติที่เราสนใจ เขาถึงเรียกว่า Life Drawing (การวาดชีวิต)

งานชุดนี้สอนให้รู้ว่าแค่เราเข้าไปคุยกับคน
เปิดใจ คนมันรับรู้กันได้ เพราะเราถ่ายทอดพลังงานกันตลอดเวลา ถ้าเราเปิดรับ ตั้งใจฟัง
เราจะเห็นความสัมพันธ์ของคนที่อยู่ใกล้ๆ กันได้ ดังนั้นถามว่าตัวเราพุ่งไปหาคนไหม
ก็ไม่เชิงพุ่ง แต่เราตั้งใจฟังและสนใจคนรอบข้าง
เราอยากให้ปฏิสัมพันธ์หรือคลื่นที่เกิดขึ้นระหว่างเรากับเขามีความหมาย
ดังนั้นก็เลยกลายเป็นนิสัยที่ค่อนข้างเปิดและให้โอกาส ให้มีความสัมพันธ์อะไรต่างๆ
เกิดขึ้นได้

เคยโดนคนที่ขอวาดภาพปฏิเสธไหม
เชื่อไหมว่าไม่มี
ลอนดอนเป็นเมืองอย่างนี้ ทุกคนอยากเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของศิลปะ อาจเพราะคนที่เรารู้จักเป็นคนในวงการสร้างสรรค์เสียเยอะ
เป็นศิลปิน ดีไซเนอร์ นายแบบ ดีเจ ช่างภาพ แต่คนอื่นๆ
เขาก็เข้าใจศิลปะและอยากช่วยกันและกัน แบบ ‘Artist to Artist’

เรียนจบปริญญาใบนึงแล้ว แต่สุดท้ายอยู่ๆ
ก็ไปลงเรียนปริญญาอีกใบด้านการศึกษาในพิพิธภัณฑ์ ทำไมโอ๊ตสนใจเรื่องนี้และเอามาเล่าในคอลัมน์
london museums ด้วย
ไม่ใช่อยู่ๆ ไปเรียนนะ
มันมีเหตุผลว่าตอนนั้นวีซ่าหมดและเราเพิ่งเลิกกับแฟนคนหนึ่งที่คบมานานมากหลังจากที่เขาขอเราแต่งงาน
เราจึงต้องหาทางว่าทำยังไงถึงจะได้อยู่ต่อเลยลงเรียนปริญญาโทอีกใบ ก็คิดว่าอะไรที่ถนัด
เรารักเรื่องเล่ามาก เรารักสิ่งที่มีเนื้อหาทางประวัติศาสตร์และศิลปะ
และเราก็ชอบของเก่า ทั้งหมดนี้รวมกันอยู่ในพิพิธภัณฑ์ เราก็เคยไปวาดรูปในพิพิธภัณฑ์มาก่อนหน้านี้
2 – 3 ครั้งก็คิดว่าน่าจะทำได้

พอเรียนๆ ไปก็ต้องทำเคสเยอะ ไปพิพิธภัณฑ์เยอะมาก เลยได้เขียนคอลัมน์ london museums ด้วย เพราะอยากจะถ่ายทอดให้คนอ่านได้เห็นมุมมองการปฏิบัติงานของพิพิธภัณฑ์ในลอนดอน เพราะมันเผ็ดมาก อย่าง Imperial War Museums ที่พูดถึงสงครามแต่ก็ทำนิทรรศการเรื่องแฟชั่นในยุคนั้นว่าให้ใช้ผ้าถูกๆ ให้เก๋และเหมาะกับการวิ่งหนีระเบิดอย่างไร พิพิธภัณฑ์
British Museum ที่เอามัมมี่ทั้งตัวเข้าเครื่อง CT
Scan เพื่อสร้างภาพจำลองสามมิติ หรือพิพิธภัณฑ์อกหัก (Museum of Broken Relationship) ที่ให้แต่ละคนนำของที่มีความทรงจำร่วมกับแฟนเก่ามารวมเป็นคอลเลกชัน กลายเป็นว่าพิพิธภัณฑ์ไม่ได้มาจากแค่คนเดียว แต่กลายเป็นของสาธารณะอย่างแท้จริง เราคิดว่าเมืองไทยน่าจะได้เรียนรู้อะไรจากสิ่งเหล่านี้นะ เราเองก็ได้เปิดโลกพิพิธภัณฑ์ในไทย หลายที่ดีขึ้นเรื่อยๆ นะ! ไม่แน่ว่าคอลัมน์ต่อไปเราอาจจะเล่าเรื่อง Thailand Museums ก็ได้

ตามอ่านเรื่องเล่าในพิพิธภัณฑ์สนุกๆ
ในคอลัมน์ london museums ได้ทุกเดือนในนิตยสาร
a day หรือจะกด
สั่งซื้อหนังสือ London Scene และ Paris Souvenir ของโอ๊ตได้ที่นี่ ส่วนใครอยากลองไปเวิร์กช็อปวาดรูปนู้ดกับโอ๊ตก็ติดตามข่าวคราวทั้งหมดได้ที่เพจ Oat Montien เลย

ภาพ ดวงสุดา กิตติวัฒนานนท์

AUTHOR