มนต์แห่งจันทราจงสำแดงฤทธาณบัดนี้ : เราเป็นบ้าเพราะพระจันทร์หรือใครกันแน่?

เขียนบทและกำกับการแสดง: ปานรัตน กริชชาญชัย
สถานที่: โรงละครพระจันทร์เสี้ยว สถาบันปรีดี พนมยงค์
นักแสดง: ฟารีดา จิราพันธุ์, คอลิด มิดำ, อาคีรา โหมดสกุล, กฤษณะ พันธุ์เพ็ง และ โอฬาร เกียรติสมพล

ในคืนที่พระจันทร์เต็มดวงส่องแสงสว่าง เราอาจกลายร่างเป็นคนบ้า หมาป่า หรืออะไรสักอย่าง

มนต์แห่งจันทราจงสำแดงฤทธาณบัดนี้ ละครเวทีเรื่องใหม่จากกลุ่ม New Theatre Society ที่ อิ๋ว-ปานรัตน กริชชาญชัย หยิบบทละครเรื่อง Frankie and Johnny in the Clair de Lune และภาพยนตร์เรื่อง Moonstruck (1987) รวมไปถึงเรื่องราวอีกหลายอย่างจากใครอีกหลายคนเข้ามาผสมดัดแปลงเพิ่มเติมจนแทบจะกลายเป็นบทละครต้นฉบับ ให้เราได้เข้าไปสัมผัสมนต์แห่งจันทรานี้เป็นครั้งแรกในค่ำคืนที่ผ่านมา

เรื่องราวเกิดขึ้น ณ 3 หลังคาใกล้เรือนเคียง ร้านแสงจันทร์คาราโอเกะ ที่ฝังตัวประจำของแม่บ้านวัยกลางคนสุดแซ่บ (แสดงโดย ฟารีดา จิราพันธุ์) ห้องเช่าของคู่รักศิษย์อาจารย์ต่างวัย ชรินทร์ (แสดงโดย โอฬาร เกียรติสมพล) และศรัณย์ (แสดงโดย กฤษณะ พันธุ์เพ็ง) และร้านโรตีกับชาชักของอาบังหฤษฎิ์ (แสดงโดย คอลิด มิดำ) ที่โสรยา (แสดงโดย อาคีรา โหมดสกุล) เข้าไปแจ้งข่าวเรื่องงานแต่งงานของเธอ เรื่องราววุ่นวายทั้งหมดเกิดขึ้นในคืนพระจันทร์เต็มดวงคืนเดียวที่ทั้งบันเทิงเริงใจ เมามายด้วยการถกเถียงถึงปรัชญา และเร่าร้อนตามประสาคนเหงามาเจอกัน

สิ่งหนึ่งที่เราชอบมากๆ คือการจัดการพื้นที่ของห้องเล็กๆ ให้นำเสนอภาพของทุกตัวละครได้พร้อมกันและเกิดการข้ามบทสนทนาระหว่างกัน คำถามที่คู่เกย์สองคนนั่งเถียงกันบ้างก็ถูกตอบโต้ด้วยแม่บ้านที่อยู่ๆ ก็โผล่งคำพูดออกมาไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ย หรือความโหดเหี้ยมที่หฤษฎิ์ข่มเหงโสรยาก็กลายมาเป็นฉากในละครน้ำเน่าที่ตัวละครคนอื่นนั่งชมไปพร้อมกับเราคนดู ไม่ว่าจะตั้งใจหรือไม่ การออกแบบซีนดังกล่าวทำให้เราเห็นเรื่องราวของตัวละครทั้งหมดเชื่อมโยงเป็นหนึ่งเดียว และยิ่งย้ำชัดเมื่อฉากท้ายๆ ตัวละครทั้งหมดออกจากห้องของตัวเองมาปฏิสัมพันธ์กัน

แต่ภายใต้ความขำขันของมุกตลก (ร้ายๆ ) ที่ทุกตัวละครใส่เข้ามาในจังหวะเป๊ะปังจนพาคนดูเพลิดเพลินไปกับบทสนทนาที่ลื่นไหล ความไพเราะของบทเพลงเก่าๆ ฉากของร้านเหล้าที่แสนสวยงาม หรือแม้แต่พระจันทร์กลมโตที่สาดส่องออกมาจากนอกหน้าต่างของห้อง คืออารมณ์แสนเหงาเศร้า สับสน และเต็มไปด้วยความว่างเวิ้งที่เกิดขึ้นได้กับมนุษย์ทุกคน โดยไม่เกี่ยวข้องกับพระจันทร์หรือบทเพลงใดๆ

ความเหงาอาจเป็นปฏิกิริยาตอบกลับเมื่อเราได้เจอใครสักคน เผลอคิดถึงใครสักคน เพ้อหวนหาวันเก่าๆ ที่ย้อนกลับมาไม่ได้ หรืออาจเป็นแค่ความเงี่ยนชั่วคราวที่เราปลดปล่อยออกมา ในเวลานั้น เราอาจกลายร่างเป็นคนบ้าไร้สติที่พูดพล่ามความต้องการตัวเองไม่หยุด เป็นหมาป่าที่ใช้สัญชาตญาณในการตัดสินใจ เป็นใครอีกคนที่เราในเวลาปกติไม่เคยเป็นหรือปกปิดไว้ แต่ความจริงก็คือนั่นเป็นเวลาที่เราเป็นตัวเองที่สุด

เราชอบการแสดงและความบ้าในการปลดปล่อยมุกแบบไม่ยั้งของฟารีดา ที่แม้จะหลบอยู่ในมุมเงียบๆ ก็สร้างสีสันให้คาแรกเตอร์นี้เป็นภาพแทนของแม่บ้านชนชั้นกลางได้ดี การพลิกภาพหญิงเรียบร้อยให้กลายเป็นแม่หมาป่าสาวของอาคีรานั้นก็เปี่ยมไปด้วยพลังอย่างน่าปรบมือให้ ส่วนซีนเล็กมากๆ ที่เราเผลอประทับใจดันเป็นซีนที่เกิดขึ้นบนโต๊ะเงียบๆ ที่ทั้งกฤษณะและโอฬารแทบไม่ได้ส่งเสียงกันเลย (ซีนไหนต้องไปชมกันเอาเอง)

มนต์แห่งจันทราจงสำแดงฤทธาณบัดนี้ เป็นหนึ่งในการแสดงที่เราเห็นความตั้งใจของทีมงานเบื้องหลังทุกคน ผ่านองค์ประกอบที่เข้ามาเสริมรับได้อย่างดีทั้งแสง เสียง ฉาก การจัดการโปรดักชัน ในรอบการแสดงแรกที่เต็มไปด้วยคนละครคุ้นเคย เรายังชอบความสดและเรื่องผิดแผนที่นักแสดงหลุดออกมาเล็กๆ น้อยๆ ให้กลุ่มคนดูได้หัวเราะและรู้สึกไปพร้อมกัน นี่คือพลังของการแสดงสดที่เราหลงใหล

และเสียงหัวเราะที่ดังออกมาพร้อมกันก็ย้ำว่าพวกเรานี่แหละคนเหงา พวกเรานี่แหละคนบ้า

ที่ไม่ได้เป็นอยู่คนเดียว

มนต์แห่งจันทราจงสำแดงฤทธาณบัดนี้ จัดแสดงถึงวันที่ 14 สิงหาคม 2560 (ยกเว้นวันอังคารและพุธ) เวลา 20.00 น. จองบัตรได้ผ่านอีเวนต์นี้ ราคาบัตร 450 บาท

ภาพ ชนิดา ปัญญาเนรมิตดี

AUTHOR