‘ฉันสวย ฉันเลิศ ฉันเก่ง!’ คุยกับซิลวี่ในวันที่คำพูดใดๆ ก็ทำลายความรักตัวเองไม่ได้

ถ้าเกิดทันยุคที่รายการแข่งขันร้องเพลงเฟื่องฟู หลายคนคงรู้จัก ‘ซิลวี่ The Star 7’ หรือ ซิลวี่–ภาวิดา มอริจจิ สาวลูกครึ่งไทย-อิตาลีเจ้าของเสียงทรงพลังที่แม้จะไม่ได้ครองแชมป์ The Star ในครั้งนั้น แต่เธอก็ได้รับคำชื่นชมในฐานะนักร้องอายุน้อยที่สุดที่สมควรได้ไปต่อบนเวทีร้องเพลงระดับประเทศ ซิลวี่

แต่คำชื่นชมนั้นคงไม่เพียงพอ เพราะในเวลาเดียวกัน คำพูดอีกแบบที่พัดผ่านเข้ามาก็คือ ‘เธออ้วนเกินไป’ ซึ่งเมื่อ 10 ปีที่แล้วถือว่ามีผลต่อการเป็นศิลปินในวงการบันเทิงไม่น้อย จึงไม่แปลกใจหากเราจะได้อ่านข่าวบันเทิงเกี่ยวกับซิลวี่ในฐานะนักร้องที่ ‘พยายามลดน้ำหนัก’ ไม่ใช่นักร้องที่ ‘มีความสามารถ’ และไม่แปลกใจหากในท้ายที่สุดเธอจะหายหน้าหายตาไปหลายปี

กระทั่ง 2-3 ปีมานี้ เราได้เห็นซิลวี่ในหน้าข่าวบันเทิงอีกครั้ง เป็นซิลวี่คนใหม่ที่รักตัวเองอย่างสุดหัวใจ มีบ้างที่อาจโอนเอียงไปตามสายลมคำพูดของคนภายนอก แต่เธอยืนยันว่าเมื่อ ‘แกน’ ของเธอแข็งแรงเสียอย่าง ก็ไม่มีอะไรจะมาบ่อนเซาะให้มันพังทลายอย่างเมื่อ 10 ปีที่แล้วได้

จากซิลวี่ The Star 7 เธอกลายเป็นซิลวี่ The Voice Thailand Season 6 และล่าสุดเธอมีโอกาสได้เซ็นสัญญาเป็นนักร้องในค่าย Warner Music Asia ซึ่งกำลังจะออกซิงเกิลแรกนาม ‘XL’ ที่บอกให้ผู้คนรักตัวเองให้ได้และตามฝันตัวเองให้ถึง ไม่ว่าคนอื่นจะว่ายังไงก็ตาม

เมื่อมีโอกาสได้สนทนากับเธอ ในฐานะของคนที่พยายามตามฝันและพยายามรักตัวเองให้ได้สักครั้ง บทสนทนาครั้งนี้ช่างมีความหมายกับเราเสียเหลือเกิน

คุณเพิ่งเซ็นสัญญากับ Warner Music Asia ไป เป็นยังไงบ้าง

เหมือนฝันที่ไม่กล้าฝัน คือเราได้มีโอกาสไปคุยและเสนอเพลงกับทาง Warner Music Asia ซึ่งเขาก็ชอบเพลงเรามากจึงได้เซ็นสัญญาเป็นศิลปินในสังกัด ถือเป็นอีกก้าวสำคัญของชีวิตเลยเพราะส่วนใหญ่เรามักได้ร้องเพลงประกอบละครที่ต้องแต่งชุดและร้องเพลงด้วยวิธีที่เป็นแบบแผน แต่ชุดและเพลงที่กำลังจะปล่อยออกมามันเป็นตัวเราล้านเปอร์เซ็นต์ มันแต่งขึ้นจากเรื่องของเราและจากการเลือกว่าอยากสื่อสารอะไร อยากให้เอ็มวีออกมาแบบไหน

อย่างซิงเกิลแรกที่จะปล่อยออกมาชื่อว่า XL เป็นเพลงที่อยากให้ทุกคนได้ออกมาเต้นและออกมาเป็นตัวของตัวเอง ‘XL’ ในที่นี้ไม่ได้จำกัดแค่คนไซส์นี้เท่านั้น แต่มันคือการเปิดพื้นที่ให้กับความหลากหลาย

กว่าจะเป็นตัวของตัวเองอย่างทุกวันนี้ ซิลวี่ในวัยเด็กเป็นคนแบบไหน 

จริงๆ เราเป็นคนขี้อายมากและไม่มั่นใจในตัวเองเลย ตอนเด็กเพื่อนจะเรียกเราว่า ‘อ้วนหย็อย’ เพราะเราผมหยิกและอ้วน บอกว่าเราดำบ้าง ถ้าผอมแล้วจะสวยบ้าง แต่เราก็ไม่ได้เลือกลดน้ำหนักเพราะพ่อกับแม่ชอบให้ลูกกินเยอะๆ ส่วนเราก็ชอบกินมาก (หัวเราะ) ทั้งพิซซ่า ชีส และช็อกโกแลต

แล้วทำไมเด็กที่ไม่มั่นใจถึงไปแข่งขันบนเวทีประกวดร้องเพลงระดับประเทศได้

เพราะสิ่งเดียวที่เรามั่นใจคือการร้องเพลง เราเริ่มไปเรียนร้องเพลงตอนอายุ 7 ขวบ พอตระเวนแข่งขันแล้วได้รางวัลระดับโรงเรียนและจังหวัดก็เริ่มรู้สึกว่ามาทางนี้น่าจะเวิร์ก ตั้งแต่นั้นเลยฝันอยากเป็นศิลปินมาตลอดและไม่คิดว่าน้ำหนักของเราจะเป็นปัญหา เพราะความสามารถของเราน่าจะเอาอยู่

แต่พอเข้าบ้าน The Star เราถึงได้รู้ว่า อ้าว น้ำหนักเป็นผลกับการอยู่ในวงการบันเทิงด้วยเหรอ เราต้องผอมเท่านั้นถึงจะมีคนชื่นชมเหรอ เพราะเราต้องออกกำลังกายและต้องควบคุมน้ำหนัก นั่นเป็นครั้งแรกที่ได้รู้จักว่าฟิตเนสคืออะไร ลดน้ำหนักเป็นแบบไหน

ถูกสั่งให้ลดน้ำหนัก

ทุกคนต้องเทรนเหมือนกันอยู่แล้ว แต่สำหรับเรามันยากเพราะเราไม่เคยลด แล้วยิ่งโดนกดดันว่าทุกครั้งที่ชั่งน้ำหนัก ตัวเลขบนตาชั่งต้องลดลง เราเลยรู้สึกว่ามันหนักหนามาก

ตอนนั้นคนดูพูดถึงน้ำหนักของคุณบ้างไหม

เราไม่รู้ว่ากระแสตอนนั้นเป็นยังไงเพราะพอเข้าบ้าน The Star ทุกคนจะถูกริบโทรศัพท์ แต่พอตกรอบถึงจะเห็นว่ามันก็มีคนที่พูดถึงความอ้วนของเราบ้าง พูดว่าถ้าผอมจะสวยมากเลยบ้าง แต่แฟนคลับส่วนใหญ่ก็ไม่ได้มีปัญหาอะไรนะเพราะเขาชอบที่เราเป็นแบบนี้

ถ้าน้ำหนักไม่ใช่ปัญหาขนาดนั้น ทำไมเราถึงเห็นข่าวคุณลดน้ำหนักหลังจบการแข่งขัน

เราไม่ได้อยากลดแต่โดนผู้ใหญ่สั่งให้ลด เขาบอกว่าถ้าเราผอมจะได้งานนี้ ด้วยความที่ตอนนั้นเราอยากทำงานในวงการมากเลยตะบี้ตะบันลด กินข้าววันละ 1 มื้อ เข้าฟิตเนสทุกวัน วันละ 4-5 ชั่วโมง แล้วยังต้องชั่งน้ำหนักก่อนและหลังเทรน ถ้าน้ำหนักไม่ลดก็โดนด่า ทำอยู่อย่างนั้นจนน้ำหนักลดประมาณ 20 กว่ากิโลกรัม ถามว่าผอมไหมมันก็ผอม แต่เราเป็นลูกครึ่งที่โครงร่างใหญ่ ลดให้ตายยังไงมันก็ไม่ผอมเพรียวเท่าคนเอเชีย แล้วสุดท้ายเราก็ไม่ได้งานอยู่ดี

ตอนนั้นเหมือนจุดแตกหักที่คิดว่าความผอมมันไม่น่าจะใช่ทุกอย่าง แล้วมันก็ไม่น่าจะใช่คำตอบเพราะไม่อย่างนั้นเราต้องได้งานสิ เราต้องได้สิ่งที่ควรจะได้ เราเลยดาวน์ไปเลย หลงในวังวนที่หาตัวเองไม่เจอว่าสรุปกูจะผอม จะอ้วน หรือจะเป็นยังไง

แล้วคุณทำยังไงต่อ

หลังจากนั้นเราได้ไปเป็นนักแสดงหมู่มวลในละครเวที แต่ช่วงนั้นก็กำลังใช้ชีวิตวัยรุ่นอย่างสนุกสนาน ปาร์ตี้ กินเหล้า ติดเพื่อน และเริ่มเข้าสู่วังวนของยาเสพติด ทีนี้เลยผอมของจริงโดยไม่ได้ตั้งใจ แต่เราไม่ได้สนเรื่องอ้วนหรือผอมแล้วนะ คิดแค่ว่าชีวิตก็มีความสุขดี วันๆ ก็ทำแต่งาน เรียนบ้างไม่เรียนบ้าง

ตอนนั้นคือแทบไม่รู้เลยว่าซิลวี่คนเดิมอยู่ไหน ไม่ได้สนใจความฝันที่อยากจะเป็นศิลปิน ไม่ได้สนใจว่าต้องเรียนให้จบ เอาอะไรก็เอา เป็นอะไรก็เป็น ช่างแม่งกับทุกสิ่ง สิ่งเดียวที่รับรู้คือเรามีแค่อารมณ์และความสุขปลอมๆ เรียกว่าหนีจากโลกความจริงไปเลย

ตอนไหนที่คุณเริ่มอยากได้ซิลวี่คนเดิมกลับมา

ตอนที่แม่จับได้ว่าใช้ยาเสพติด เราเลยรู้สึกว่าไม่แฮปปี้กับการเสพยาแล้ว โชคดีว่าในวันที่เราเป็นคนที่แย่ที่สุดในโลก คุณแม่ยังยอมรับ คอยให้กำลังใจ และให้โอกาสเราเริ่มใหม่ทุกวัน ทั้งที่ก่อนหน้านั้นเขาค่อนข้างเข้มงวดมากว่าทำอะไรได้และไม่ได้บ้าง แต่วันนั้นเขาพร้อมเคียงข้างและสนับสนุนเราทุกอย่าง เราเลยรู้สึกเกรงใจและอยากให้เกียรติเขา พยายามเลิกเองโดยไม่ได้ไปหาหมอเพราะคิดว่าถ้าใจเราไม่แข็งและไม่ชัดเจนกับสิ่งที่ต้องการมันก็จะเลิกไม่ได้

แต่ใช่ว่ามันจะง่ายขนาดนั้นนะ มันก็มีช่วงที่ยากลำบากเหมือนกัน มีช่วงที่สับสนว่าจะเอายังไงดี จะกลับไปเสพดีไหม แต่ยิ่งคิดถึงข้อเสียของมันเท่าไหร่เราก็เริ่มตัดจากมันได้ กระทั่งช่วง 5 เดือนแรกที่เลิกได้จริงๆ เราก็เริ่มพาตัวเองออกมาทำสิ่งต่างๆ อย่างการทำช่องยูทูบแล้วเริ่มเห็นว่ามีคนชอบและติดตามเสียงของเรา และเราได้ไป The Voice Thailand Season 6 ได้เห็นว่าคนยังจำเราได้ พลังบวกมันเลยยิ่งบวกขึ้นทุกวันๆ เหมือนพอเจอทางออกก็อยากจะทำต่อไปเรื่อยๆ

แต่กรรมการทั้ง 4 คนจำไม่ได้ว่าคุณคือซิลวี่ The Star 7 แถมยังกดช้าด้วย รู้สึกน้อยใจบ้างไหม

ตอนที่จะจบเพลงแล้วแต่เขาไม่กดสักที มันก็รู้สึกแป้วอยู่นะ (หัวเราะ) แต่ความแป้วมันมีแค่ 2 เปอร์เซ็นต์เพราะก่อนไปเราคุยกับตัวเองแล้วว่าเราต้องการอะไร จนได้คำตอบว่าเราไปเพราะอยากรู้ว่าตัวเองยังมีกึ๋นพอจะสู้เพื่อฝันไหม และไปด้วยความไม่คาดหวังว่าจะเข้ารอบต่อหรือไม่ แต่อยากให้คนได้เห็นว่าซิลวี่ยังร้องเพลงอยู่ ดังนั้นอีก 98 เปอร์เซ็นต์ที่เหลือเลยใส่ไม่ยั้งเพราะนี่คือโอกาสที่ต้องไม่ปล่อยให้หลุดมือ

ส่วนเรื่องที่กรรมการจำไม่ได้ก็ไม่รู้สึกอะไร ถ้าจำได้ก็ดี จำไม่ได้ก็ดีเหมือนกันเพราะเราอยากเริ่มใหม่ อยากเป็นซิลวี่คนใหม่ที่ไปทำฝันให้เป็นจริงโดยไม่มีใครมาบอกให้ฉันเป็นอะไรก็ตามที่อยากให้ฉันเป็น หรือเป็นอะไรก็ตามที่ต้องสมบูรณ์แบบร้อยเปอร์เซ็นต์ เพราะมันไม่มีอยู่จริง

ช่วงที่หลงทางคุณบอกว่าคุณไม่รู้ว่าอยากจะอ้วนหรือผอม แล้วตอนนี้รู้หรือยัง

จริงๆ เราไม่เคยมีปัญหากับความอ้วนของตัวเองเลย แต่คนที่มีปัญหาคือคนอื่นทั้งนั้น ก่อนหน้านั้นแกนของเรายังไม่แน่น เป้าหมายของเรายังไม่แข็งแกร่งพอจะสู้กับคำพูดคนอื่นมากนักมันเลยพัง แต่เมื่อแกนข้างในเริ่มแน่น สิ่งอื่นๆ ก็ไม่สำคัญแล้ว

อย่างวันที่เราโยโย่แล้วมองตัวเองในกระจกก็รู้สึกว่านี่แหละคือซิลวี่ ในเมื่อเราชอบกินและออกกำลังกายไปพร้อมกัน จะอ้วนก็ไม่เห็นเป็นอะไรเลย ตั้งแต่นั้นมาเราก็เริ่มรู้ว่าเราอยากให้โลกของเราเป็นแบบไหน เริ่มมองกระจกแล้วคิดว่า เฮ้ย กูสวยมาก แต่งตัวแบบนี้แล้วเลิศ หรือตอนกลับไปเจอผู้ใหญ่ที่ค่ายเดิมเขายังทักเราว่า ‘อุ๊ย ดูตูดสิ’ อยู่เลย แต่เราก็เริ่มรู้วิธีรับมือกับคำพูดคนอื่นแล้ว เลยตอบไปว่า ‘ทำไมอะคะ หนูคือ Kim Kardashian West ไงคะ’ (หัวเราะ)

เราจึงได้เห็นคุณใส่บิกินี่อยู่บ่อยๆ

จะบอกว่าวันที่ใส่บิกินี่ครั้งแรกเรายังไม่มั่นใจตัวเองอยู่เลย วันนั้นคือวันที่เราไปงานอีเวนต์ที่มีผู้หญิงประมาณร้อยคนแล้วทุกคนสวยมาก มีแค่เราที่ไปในรูปร่างแบบนี้ ตอนที่ทุกคนถอดผ้าข้างนอกออกเหลือแต่ชุดว่ายน้ำแล้ววิ่งลงทะเล เรายังคิดในหัวตลอดว่าคนอื่นจะบอกว่าอีนี่ขาใหญ่หรือตูดลายไหม คิดวนอยู่นั่นจนสุดท้ายมือเราก็ดึงกางเกงลงและได้พบว่าเราไม่ได้เป็นศูนย์กลางขนาดนั้น และถึงใครจะคิดในใจก็ช่างเขา สิ่งที่สำคัญคือได้รู้ตัวเองว่า ใช่ เราขาใหญ่ เราตูดลาย แต่เรากล้าใส่นะ

หลังจากนั้นเราก็แต่งตัวโป๊ขึ้นเรื่อยๆ (หัวเราะ) เพราะยิ่งโป๊ยิ่งเสริมสร้างความมั่นใจให้ตัวเอง และเริ่มรู้ว่าตัวเองชอบเจาะ ชอบสัก และชอบใส่เกาะอก แขนใหญ่เหรอ ไม่เป็นไร ก็มันสวยและฉันชอบ มันจึงค่อยๆ หล่อหลอมความเป็นซิลวี่ขึ้นมา หล่อหลอมให้เราค่อยๆ หลงรักตัวเองมากขึ้นจนไม่ว่าจะเจอคอมเมนต์แบบไหนเราก็รู้สึกว่าเป็นเรื่องตลกหมดเลย เพราะเรารู้วิธีจัดการกับคอมเมนต์เหล่านั้นแล้ว

ทั้งหมดนี้เกิดจากการใส่บิกินี่

ไม่ขนาดนั้น แต่มันคือการได้เห็นธาตุแท้ของตัวเอง (หัวเราะ) มันคือการยอมรับว่าฉันมีความไม่มั่นใจในตัวตนและรูปร่างตัวเองอยู่ แต่ฉันก็ยังผ่านไปได้ และถ้ามันไม่เดือดร้อนใคร ต่อไปนี้ก็จะเอาตัวเองเป็นที่ตั้ง จะเป็นและแต่งตัวในแบบที่ตัวเองต้องการ เพราะถ้าโดนบังคับให้ทำโน่นทำนี่แบบเมื่อก่อนก็ไม่รู้จะเป็นศิลปินไปทำไม

ถ้าให้คะแนนความรักตัวเองเต็ม 10 ตอนนี้คุณจะให้เท่าไหร่

เต็ม 10 เลย แม้บางวันมันอาจจะมีความคิดแง่ลบบ้าง แต่เราเชื่อว่าไม่มีใครจะมั่นหน้ามั่นโหนกตลอดเวลา นี่คือธรรมชาติของมนุษย์ที่มีสุขก็ต้องมีทุกข์เหมือนกับเรื่อง Inside Out ที่คนคนหนึ่งมีหลายอารมณ์ เราแค่ต้องเลือกว่าวันไหนเราจะเป็นแบบไหน วันไหนเราจะให้ใครนำ แล้วไม่นานมานี้เราก็เพิ่งไปพบจิตแพทย์อยู่เลยแต่หมอไม่ได้ระบุว่าเป็นอะไรแน่ชัด แค่ต้องกินยาเพื่อปรับอารมณ์

ที่เราโพสต์หรือทำคอนเทนต์บอกให้คนมั่นใจและรักตัวเองมันก็คือการบอกตัวเองนะ แต่พอทำเพื่อตัวเองแล้วมันทำให้คนที่ติดตามรู้สึกดีขึ้น ก็ยิ่งเป็นพลังบวกให้เราอยากเผยแพร่ความสุขและความมั่นใจที่มีให้กับทุกคน

แล้วถ้าให้สรุปตลอด 10 ปีที่ได้เป็นศิลปิน คุณได้เรียนรู้อะไรจากวงการบันเทิงบ้าง

ได้เรียนรู้ว่าความหลากหลายในวงการบันเทิงไทยมันน้อย การจะเป็นตัวเองได้ร้อยเปอร์เซ็นต์มันค่อนข้างยาก เพราะถ้าเราคิดต่างกับผู้ใหญ่ก็จะกลายเป็นว่าเราไม่เป็นลูกรักอีกต่อไป ดีที่หลังๆ สังคมเริ่มเปิดกว้างมากขึ้นแล้ว เราก็ต้องหาจุดกึ่งกลางให้เราอยู่อย่างสบายใจให้ได้

อยากบอกอะไรซิลวี่เมื่อ 10 ปีที่แล้วไหม

(นิ่งคิด) เก่งมากที่ผ่านมันมาได้ เพราะเราไม่คิดอยากกลับไปแก้ไขซิลวี่คนนั้น แต่อยากให้ซิลวี่คนนี้ทำทุกวันนี้ให้ดีขึ้น

ถ้าเราไม่อยู่ในวังวนของการเสพยา ณ วันนั้น ในวันนี้เราก็อาจจะติดก็ได้เพราะสังคมรอบตัวเรามีแต่เพื่อนปาร์ตี้ เราต้องออกไปทัวร์ตามที่ต่างๆ ดังนั้นถ้าวันนั้นเราไม่ได้หลงทาง เราอาจไม่ได้รักตัวเองมากแบบทุกวันนี้ เพราะมันทำให้รู้ว่าการที่เราไม่มีตัวตน ไม่ยึดตัวเองเป็นเสาหลัก และไม่ทำให้แกนของเราแข็งแรงพอ ชีวิตเราจะหลงทางง่ายมาก

แต่ถ้าตัวตนของเราแน่นจริงๆ เราจะใช้ชีวิตได้ง่ายและไม่แปรเปลี่ยนไปตามคำพูดของคนอื่น

ขอบคุณภาพจาก ซิลวี่

AUTHOR