อิมเมจ สุธิตา : ข้างหลังภาพนี้มีความคิด และความคิดปกป้องความรู้สึกได้

สำหรับเรา ภาพจำแรกของอิมเมจคือหญิงสาววัย 16 ปี พร้อมรอยยิ้มใต้กรอบแว่นบนเวที The Voice ซีซั่นสอง หลายคนก็จำเธอได้จากภาพนั้น และเมื่อรวมกับเสียงร้องอันเป็นเอกลักษณ์ ทำให้อิมเมจกลายเป็นที่รู้จักในวงกว้างในเวลาไม่นาน

หลังจากวันนั้น การก้าวออกมาจากเวที The Voice ในตำแหน่งรองชนะเลิศ ได้สร้างเส้นทางใหม่ในชีวิตของเธอที่เต็มไปด้วยเสียงดนตรีและการร้องเพลง แม้จะไม่ได้มีผลงานมากนัก แต่เรายังคงเห็นอิมเมจอยู่เรื่อยๆ บนหน้าสื่อและโซเชียลมีเดียตลอด 4 ปีที่ผ่านมา

วันนี้อิมเมจกลับมาพร้อมซิงเกิลใหม่ ใจเย็น ผลงานแรกภายใต้บ้านใหม่อย่าง Smallroom เสียงร้องของเธอยังคงพิเศษเหมือนกับวันแรกที่เรารู้จัก แต่ความรู้สึกของหลายคนที่มีต่อตัวเธอนั้นเริ่มต่างไป ภาพมากมายเกี่ยวกับอิมเมจเกิดขึ้นผ่านสื่อ ตัวตนของอิมเมจในสายตาคนนอกเริ่มเปลี่ยนไป โดยที่ในความเป็นจริงแล้วเราแทบไม่รู้เลยว่า ตัวตนจริงๆ ของเธอในตอนนี้เป็นภาพไหนกันแน่

ถ้าเทียบกับภาพตรงหน้า อิมเมจในปัจจุบันดูเป็นผู้ใหญ่ขึ้นมากถ้าเทียบกับในอดีต แม้รอยยิ้มตาหยียังคงมีอยู่ แต่เมื่อยามหน้าเรียบเฉย เธอเหมือนจะคิดอะไรบางอย่างอยู่ตลอดเวลา นัยน์ตาเศร้ากับใบหน้านิ่งทำให้สิ่งที่อยู่ในหัวของเธอกลายเป็นเครื่องหมายคำถาม บางครั้งเราพอจะเดาได้ แต่บางครั้งก็เดาไม่ถูก ถ้าให้เปรียบเปรยคงเหมือนภาพมัวๆ ที่เหมือนจะชัดแต่ก็ไม่ชัดอย่างที่ควรจะเป็น

บางที การคุยกันถึงเบื้องหลังของภาพที่เห็นอาจจะทำให้เราได้พบคำตอบ

เริ่มที่ภาพแรก


ชื่อภาพ : Thinking Realistically

ขนาด : 750 x 422 pixels

นางแบบ : Image Suthita


มนุษย์เป็นสัตว์ที่มีทั้งเหตุผลและความรู้สึก

สองสิ่งนี้ปรับสมดุลในตัวเราตลอดเวลา และแต่ละคนมีสมดุลที่ไม่เท่ากัน

สำหรับอาชีพนักร้องหรือศิลปิน เราอดคิดไม่ได้ว่าสัดส่วนของ ‘ความรู้สึก’ ในตัวตนของพวกเขาน่าจะมากกว่าปกติ ยิ่งตอนได้ฟังเสียงร้องของอิมเมจ เราเชื่อว่าหลายคนน่าจะเข้าใจว่า เธอต้องเป็นคนที่จมลงไปกับอารมณ์ของตัวเองได้ง่ายๆ เป็นแน่

ซึ่งนี่เป็นภาพจำแรกที่เราคิดผิด

“เรารู้สึกว่าเราเป็นคน realistic นะ แค่เรามีความเข้าใจเรื่อง romanticize อยู่พอที่จะหยิบมันมาใช้ได้ จริงๆ เราเป็นคนชอบคิดไปเรื่อยๆ คิดตลอดเวลา”

เหตุผลนี้เอง อาจจะเป็นกรอบชั้นแรกที่หลายคนเห็นเมื่อมองเธอจากภายนอก ภาพใบหน้านิ่งเฉยแต่ในหัวกลับเต็มไปด้วยความคิด

“บางทีเราก็ชอบคิดย้อนถึงภาพอดีตว่า ถ้าตอนนั้นเราทำแบบนั้นอนาคตจะเปลี่ยนไปยังไง ภาพในปัจจุบันที่เราเป็นแบบนี้มันเพราะอะไร หรือวิเคราะห์คนที่อยู่ตรงหน้าว่าเขาทำแบบนี้ทำไม บางทีพอคิดแบบนี้มันเลยอาจจะดูซับซ้อนกว่าคนอื่น เข้าใจยากกว่า อยู่ด้วยยากกว่า”

การเป็นคนเข้าใจยากในวงการที่เจอคนเยอะๆ แบบนี้ดูจะเป็นอุปสรรคไม่น้อย การอยู่ท่ามกลางแสงไฟกลายเป็นเรื่องยากสำหรับการเป็นตัวของตัวเองได้ร้อยเปอร์เซ็นต์ เราคิดว่าอิมเมจน่าจะเป็นอีกคนที่ได้รับผลกระทบนี้เช่นกัน

และนี่เป็นภาพจำภาพที่สองเกี่ยวกับเธอที่เราคิดผิด

“เราทำใจไว้อยู่แล้วว่ามีคนมาตัดสินเราแน่ๆ เพราะการที่เราบอกว่าคนมาตัดสินเราแสดงว่าเราก็กำลังตัดสินเขาอยู่เหมือนกัน มันไม่มีวันไม่ตัดสินหรอก

“เราเคยอ่านมานะว่า ความคิดแรกมันเป็นความคิดที่เราถูกโปรแกรมไว้ เราไม่ได้ควบคุมมัน เช่น ถ้าเราเห็นคนตัวใหญ่ ความคิดแรกจะขึ้นมาเลยว่าอ้วน ซึ่งไม่ใช่ ความคิดที่สองต่างหากที่เป็นความคิดที่เป็นตัวเราจริงๆ เราอาจจะเปลี่ยนความคิดเป็นว่า คนนี้เขาดูมั่นใจดีนะ แต่งตัวเก่ง มากกว่าที่จะคิดว่าเขาอ้วน

“เราว่าความคิดเหล่านี้ต่างหากที่จริง เราทุกคนควบคุมความคิดกันลำบากอยู่แล้ว แต่สิ่งที่อยากให้สนใจคือความคิดที่สองที่ผ่านในหัวเรา ดังนั้นเวลาเราจะทำอะไร จะพูดอะไร เราเลยคิดเยอะมาก รวมถึงผลกระทบของมันด้วยว่า มันจะไปกระทบใครบ้าง จะไปทำให้ใครรู้สึกแย่ไหม”

เมื่อสังเกตดีๆ ในความคิด realistic ของอิมเมจ มักจะมีความรู้สึกซ่อนอยู่เสมอ

และเรารับรู้ได้ว่า มันเป็นสีเทามากกว่าขาวหรือดำ


ชื่อภาพ : Unconfident

ขนาด : 750 x 422 pixels

นางแบบ : Image Suthita


“เราเป็นคนไม่ค่อยมั่นใจ”

อิมเมจบอกกับเราถึงอีกด้านหนึ่งในตัวเธอที่ตรงข้ามกับเหตุผล คำว่า ‘ไม่มั่นใจ’ เป็นคำที่อธิบายตัวเธอได้ชัดในแง่ความรู้สึก

“ในวงการนี้ทุกคนขับเคลื่อนด้วยความมั่นใจ การที่เราเป็นคนแบบนี้มันก็มีทั้งข้อดีและข้อเสีย ข้อดีคือเรายังรู้สึกว่าตัวเองไม่ดีพอ เราเลยยังต้องพัฒนา แต่ข้อเสียมันก็เยอะ เราเป็นคนตื่นเวทีมาก คุมสมาธิไม่ค่อยได้ แล้วพอเราคิดว่าจะทำได้ไม่ดี เราก็จะทำได้ไม่ดี”

ฟังดูย้อนแย้งกับอาชีพที่ต้องอาศัยความมั่นใจอย่างศิลปิน แต่จากการที่เรายังคงเห็นเธอจับไมค์ขับกล่อมพวกเรามาจนถึงทุกวันนี้ แสดงว่าต้องมีอะไรบางอย่างในความไม่มั่นใจที่ยังคงทำให้เธอร้องเพลงให้พวกเราฟังมาโดยตลอด

“ในการทำงานตรงนี้ อะไรหลายๆ อย่างมันยากมากเลยสำหรับเรา แต่สิ่งที่ทำให้เรายังอยากพยายามทำทางนี้ให้ดีที่สุด มันคือการที่เราสามารถหาเงินเลี้ยงตัวเองได้ ถึงจะกลัวเวทีแต่เวลาเราขึ้นแสดงเรามีความสุขมากนะ เราได้เห็นคนดูสนุกไปกับเรา หรือเวลาเราได้รับฟีดแบ็กที่ดี มีคนฟังเพลงเราแล้วยิ้มได้ อันนี้คือกำลังใจที่ใหญ่ที่สุดเลย

“พอเป็นคนที่คิดเยอะแบบนี้บวกกับความไม่มั่นใจ ยอมรับกันตรงๆ ว่าบางครั้งเราเซนซิทีฟมาก เราเสียใจง่ายแต่เราก็เป็นคนที่หาเหตุผลให้กับทุกอย่างเหมือนหลอกตัวเองกลายๆ มันขัดกันมากนะ แต่ก็พอช่วยได้ในบางสถานการณ์ ตอนนี้เราก็พยายามพัฒนาความมั่นใจในตัวเองอยู่ตลอด”

ถ้าพวกเราต่างถูกประกอบจากภาพในอดีต เราคิดว่าความคิด realistic ที่เป็นระบบของอิมเมจน่าจะเกิดพื้นฐานของความรู้สึกเหล่านี้ มันคือเกราะกำบังชั้นดีที่เธอสร้างไว้เพื่อปกป้องหัวใจตัวเอง จากที่ฟังเธอมา ทั้งเกราะที่หุ้มไว้หรือความรู้สึกข้างในก็ล้วนเป็นตัวตนของเธอทั้งคู่

ตัวตนที่ถูกสร้างมาตั้งแต่ก่อนหน้าการเป็นเด็กสาววัย 16 ปีบนเวทีในวันนั้น


ชื่อภาพ : Present Perfect

ขนาด : 750 x 422 pixels

นางแบบ : Image Suthita


อดีตส่งผลถึงปัจจุบันและก่อร่างอนาคต

ถ้ามีอะไรสักอย่างหนึ่งในตัวเธอที่ต่างออกไปจากเมื่อครั้งอดีต เราอาจจะไม่ได้เข้ามานั่งคุยกับอิมเมจในวันนี้ก็ได้ ความคิดที่เป็นเหตุผลและความเซนซิทีฟในตัวเธอก็อาจไม่เกิดขึ้น แต่กับตัวเธอเองล่ะ การอยู่วงการบันเทิงในปัจจุบันนั้นดีหรือเปล่า เราชวนให้เธอได้หันมองย้อนกลับไปและขบคิด

“เราเชื่อว่า ทุกสิ่งที่เกิดขึ้นนั้นถูกอยู่แล้ว”

เธอตอบพร้อมมองหน้าเราด้วยสายตาที่ยืนยันว่าคำพูดทั้งหมด เธอรู้สึกอย่างนั้นจริงๆ

“จากทั้งหมดที่ผ่านมา ถ้าให้ย้อนกลับไปคิด เราคิดว่าสิ่งที่ดีที่สุดที่เราเลือกในชีวิตคือการไปประกวด The Voice นะ มันอาจให้ข้อดีและข้อเสียเรามา แต่โดยรวมข้อดีมันมีเยอะมากกว่า

“อะไรก็ตามหลังจากนั้นที่เข้ามาชนเรา เราอาจกลายเป็นอีกคนที่ไม่เหมือนเดิม เราอาจมีความคิดแบบใหม่ ตัวเราวันนี้ก็ไม่ใช่เมื่อวาน ในแต่ละวันเราอาจจะโตขึ้นหรือแย่ลงก็ได้ขึ้นอยู่กับว่าไปเจออะไรมา แต่ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น เรารู้สึกว่าก็แค่ตามมันให้ทันก็พอ ทุกข์ก็อยู่ไม่นาน สุขก็อยู่ไม่นานหรอก”

แล้วอิมเมจเคยตามไม่ทันไหม เราถาม

“เคย” เธอตอบทันที


ชื่อภาพ : Life

ขนาด : 750 x 422 pixels

นางแบบ : Image Suthita


“เราเคยทะเลาะกับเพื่อนหนักมากๆ ตอนนั้นเราโกรธแต่เราไม่ได้สนใจว่าเราโกรธ เรามัวแต่ไปโฟกัสว่าเพื่อนน่ะแย่ สุดท้ายเราด่าเพื่อนไปจนเกือบเสียเพื่อน คือพอเราตามตัวเองไม่ทัน มันก็หยุดตัวเองไม่ทัน แต่ถ้าเรารู้สักนิดว่าเราโกรธ เราก็จะรู้เท่าทันและเลือกวิธีแก้ปัญหาที่เหมาะสมได้”

ดูแล้วการตามทันอย่างที่เธอบอก จะเป็นเรื่องยากเหลือเกินในวงการที่ทุกอย่างผ่านไปเร็วขนาดนี้ วันหนึ่งเธออาจปรากฏบนภาพข่าวพร้อมประเด็นที่เป็นข้อถกเถียง แต่อีกเดือนต่อมา เธออาจจะปรากฏตัวอีกครั้งพร้อมกับคำชื่นชม ไม่มีอะไรแน่นอน ทุกอย่างมาไวและไปไวในวงการบันเทิง

เธอรับมือกับเรื่องทั้งหมดได้อย่างไร นั่นคือข้างหลังภาพที่เราสงสัยมากที่สุด

“มันก็มีเหนื่อยบ้าง บางทีเราก็หยุดบ้าง สิ่งที่เข้ามาแรงเราก็ต้องหลบ หลบไม่ไหวก็โดน ถ้าสุดท้ายเราเศร้า เราก็แค่รู้ตัวว่าเราเศร้า เศร้าแล้วยังไง ก็ไม่ยังไง ก็อยู่กับมัน

“สำหรับเรา เราแนะนำว่าอย่าเพิ่งไปไล่ความรู้สึก มันอาจจะมีประโยชน์ก็ได้นะ ลองอยู่กับมันสักพักก่อน เศร้าก็รู้ตัวไปเลยว่าเศร้า ในทางพุทธมันก็คือสิ่งที่เรียกว่าสตินั่นแหละ ของแบบนี้มันต้องฝึก ทุกวันนี้มันก็ดีขึ้นเรื่อยๆ แต่เราอาจจะตามไม่ทันทั้งหมดหรอก”

ไม่ว่าใครก็ตามไม่ทันทั้งหมดหรอก เราเชื่อแบบนั้น แต่ก่อนจะพูดแสดงความเห็นกับเธอ อิมเมจยิ้มให้เราด้วยรอยยิ้มเดิมที่เราคุ้นเคย พร้อมพูดด้วยน้ำเสียงเรียบเฉยแต่แฝงไว้ด้วยความหมาย

“ทั้งหมดนี้มันก็เป็นชีวิตแหละเนอะ”

เราเห็นด้วย

และอิมเมจในวันนี้แหละ

คือภาพทั้งหมดที่เราจะอยาก save as ไว้ในความทรงจำของเราไปอีกนาน

ภาพ เธียรสิน สุวรรณรังสิกุล, ชนพัฒน์ เศรษฐโสรัถ

AUTHOR

PHOTOGRAPHER

เธียรสิน สุวรรณรังสิกุล

เจ้าของเพจ T E 4 M ที่หลงใหลในมุกตลกคาเฟ่และชื่นชอบน้องหมาหน้าย่นเป็นที่สุด

ชนพัฒน์ เศรษฐโสรัถ

ช่างภาพนิตยสาร a day ที่เพิ่งมีพ็อกเก็ตบุ๊กเล่มใหม่ชื่อ view • finder ออกไปเจอบอลติก ซื้อสิ ไปซื้อ เฮ่!