London Brown รองเท้าหนังคลาสสิกดีไซน์ร่วมสมัยที่จริงใจทุกรายละเอียด

Highlights

  • London Brown แบรนด์รองเท้าหนังคลาสสิกที่เริ่มต้นจากความรักความชอบรองเท้าหนังที่หนุ่มผู้ก่อตั้ง โอกิ–ทัดสุระ อิวาชิตะ ได้รับอิทธิพลมาจากคุณพ่อชาวญี่ปุ่น ตอนนี้มีหน้าร้านแห่งเดียวคือที่สยามสแควร์ซอย 2
  • จุดเด่นของแบรนด์คือเป็นรองเท้าคลาสสิกทำมือที่ดีไซน์ออกมาได้อย่างร่วมสมัย คนรุ่นใหม่หยิบจับมา mix & match เข้าได้กับสไตล์การแต่งตัวได้หลากหลาย และมีความเป็น unisex
  • รองเท้าทุกคู่ตัดเย็บด้วยฝีมือสุดเนี้ยบของช่างทำรองเท้ารุ่นเก๋า นอกจากนี้ยังรับทำแบบ customize เปลี่ยนชนิดของหนังหรือพื้นรองเท้าได้ในแบบที่ลูกค้าต้องการด้วย

เราได้ยินชื่อ London Brown แบรนด์รองเท้าหนังสัญชาติไทยอายุอานาม 8 ปีแบรนด์นี้ครั้งแรกจากคำแนะนำของผู้รักการสวมรองเท้าหนังและแต่งตัวสไตล์วินเทจแบบเข้าเส้นเลือดหลายคน

ไม่แน่ใจว่ารูปทรงรองเท้าที่ดู unisex แบบที่ผู้หญิงลุคแมนๆ อย่างเราใส่ได้อย่างไม่ประดักประเดิด หรือฝีปากการขายของรุ่นพี่คนนั้นที่ทำให้เราตัดสินใจเดินมายังใจกลางสยามสแควร์ซอย 2 หยุดตรงที่หน้าร้านรองเท้าหนังเล็กๆ ที่ไม่ยากเกินจะสังเกตแห่งนี้

London Brown ไม่ได้มีดีแค่การเป็นรองเท้าหนังคลาสสิกดีไซน์สวย หรือการตัดเย็บที่เนี้ยบทุกกระเบียดนิ้ว การบริการที่เป็นมิตรและคำแนะนำดีๆ จากพนักงานสาวสวยของร้าน คือเหตุผลทั้งหมดที่ทำให้รองเท้าหนังจาก London Brown โดดเด่นจากแบรนด์อื่นๆ

โอกิ–ทัดสุระ อิวาชิตะ ชายผู้หลงรักรองเท้าหนัง เจ้าของแบรนด์ London Brown เล่าเรื่องรองเท้าให้เราฟังด้วยความรักและยินดีอย่างยิ่ง

จุดประกายจากความชอบของพ่อที่ส่งต่อถึงลูก

“คุณพ่อผมเป็นคนญี่ปุ่นที่เข้ามาทำธุรกิจที่เมืองไทย ผมเห็นเขาชอบแต่งตัว ชอบซื้อรองเท้ามาตั้งแต่เด็กๆ  เมืองไทยสมัยนู้นคนไม่ค่อยแต่งตัวมากเท่าไหร่ เขาชอบซื้อนิตยสารแฟชั่นญี่ปุ่นมาอ่าน ผมก็เลยได้อ่านนิตยสารพวกนั้น แล้วก็ซึมซับความชอบรองเท้ามาด้วย

“มีรองเท้าหนังคู่หนึ่งที่ผมเห็นแล้วชอบมากคือ Gucci Cosmic ที่มีเข็มขัดเหล็กตรงหน้าเท้า แต่ช่วงนั้นเมืองไทยแทบไม่มีรองเท้าแบบที่ผมชอบ จะสั่งซื้อของจากต่างประเทศก็ยากกว่าสมัยนี้เยอะ งั้นก็ลองทำรองเท้าเองแล้วกัน

“ผมจบมาร์เก็ตติ้ง แต่เผอิญตอนเด็กๆ ผมเป็นคนชอบวาดรูป ผมก็เลยลองสเกตช์มันขึ้นมา ตอนแรกผมก็วาดไปเรื่อยเลยนะ จับนั่นจับนี่มาใส่ หัดวาดจนมันเข้ามือ เหมือนอะไรที่เราชอบ เราก็จะทำมันได้ทั้งวัน ผมมองว่าการที่เราจบอะไรมา มันไม่จำเป็นเลยว่าเราต้องทำงานตรงสาย พอเราได้ทำอะไรที่เราชอบ เราก็จะฝึกกับมันได้อย่างถูกทาง”

รองเท้าหนังคลาสสิกที่คิดถึงคาแร็กเตอร์ผู้สวมใส่

“ถ้าเป็นเรื่องของสไตล์ London Brown เป็นรองเท้าคลาสสิก พอพูดคำว่า ‘คลาสสิก’ มันไม่ใช่ว่าเราไม่ทำตามเทรนด์ของแฟชั่นเลยนะ แต่ละรุ่นเราพยายามปรับดีไซน์ของมันให้เข้ากับยุคสมัย หยิบจับมาใส่ง่าย และมีความเป็น unisex คือผู้หญิงที่แต่งตัวเท่ๆ ก็ใส่ได้ ส่วนเรื่องทรงเท้า เท้าคนเอเชียจะค่อนข้างแบนกว่าคนยุโรปเพราะฉะนั้นเราก็ต้องปรับเปลี่ยนทรงของรองเท้าให้เหมาะกับคนใส่ด้วย

“เวลาผมดีไซน์รองเท้าสักคู่ ผมจะคิดมันจากคาแร็กเตอร์คนที่เราสร้างขึ้นมา หรือแม้แต่ตอนเริ่มต้นแบรนด์ London Brown ผมสร้างคาแร็กเตอร์ขึ้นมาเลยว่า แบรนด์เราจะต้องเป็นคนที่มีรสนิยมแบบนี้ จะต้องชอบแต่งตัวแบบนี้ ชอบดื่มและทานอะไร อ่านหนังสือแนวไหน เวลาที่เราออกแบบรองเท้า กระเป๋า หรือเครื่องแต่งกายอื่นๆ คาแร็กเตอร์นี้มันจะคลุมทุกอย่างให้ไปในไดเรกชั่นเดียวกัน

“อย่างรุ่น Chelsea Boots ที่ผมใส่อยู่ ดูผ่านๆ มันอาจจะเป็นรองเท้าบูตหน้าตาดูเรียบๆ นะ แต่ด้วยรูปทรง ด้วยข้อที่สูง ดีเทลมันค่อนข้างเยอะนิดนึง มันเลยเหมาะกับคนที่ชอบอะไรเรียบๆ แต่ดูมีอะไรเยอะๆ อยู่”

คนหลังบ้านที่เก๋าประสบการณ์

“ผมทำแบรนด์มาถึงปีที่ 8 ผมมั่นใจว่าเรามีแหล่งวัสดุดีๆ ในมือเยอะ มีโรงงานที่ผลิตหนังให้แบรนด์เราโดยเฉพาะ เรามีโรงงานเป็นของตัวเองเลยสามารถรับทำรองเท้าแบบ customize ได้ด้วย สมมติลูกค้าอยากจะเปลี่ยนแบบหรือสีของหนัง เปลี่ยนพื้นรองเท้าจากพื้นหนังเป็นพื้นโฟมก็ทำให้ได้ ช่างประจำเป็นคนเก่าคนแก่หมดเลยครับ คือคนรุ่นพ่อเราเขารับอิทธิพลการแต่งตัวมาจากตะวันตก ช่างทำรองเท้าสมัยนั้นเขาก็จะเก่งในการทำรองเท้าสไตล์ต่างประเทศ ช่างเราก็เลยเป็นคนรุ่นนั้นหมด

“ช่างเคยเล่าให้ผมฟังว่าสมัยก่อนการจะเรียนทำรองเท้านี่ไม่ใช่เรื่องง่ายเลยครับ เขาต้องไปเป็นลูกมือ ตัดหนัง ตัดพื้นเป็นปีๆ โดยที่ยังไม่ได้เย็บรองเท้าสักคู่ กว่าช่างรุ่นก่อนจะยอมถ่ายทอดวิชาให้ต้องใช้ความพยายามและวัดใจกันพอสมควรเลย ซึ่งต้องยอมว่าฝีมือพวกเขาประณีตมาก ด้วยประสบการณ์ที่ลองผิดลองถูกมาเยอะ ผมคิดว่าวันนี้ London Brown สามารถทำรองเท้าที่ดีออกมาได้แล้ว”

หน้าร้านที่เต็มไปด้วยรายละเอียดและความจริงใจ

“ผมดีไซน์แบรนด์จากคาแร็กเตอร์ ผมเลยต้องละเอียดในทุกๆ ดีเทล แม้แต่การตอบเฟซบุ๊กต้องตอบแบบไม่เล่นเกินไป ต้องใช้ คะ ค่ะ ให้ถูก พนักงานขายก็เหมือนกัน ปัญหาหน้าร้านที่เจอบ่อยๆ คือลูกค้าผู้ชายส่วนมากจะไม่ค่อยรู้ว่าตัวเองชอบอะไร หรือใส่สูทแบบนี้ต้องใส่กับรองเท้าอะไร น้องๆ ที่ร้านก็สามารถช่วยได้ในระดับหนึ่ง เพราะงั้นผมจะเลือกคนที่ชอบแต่งตัวอยู่แล้ว เพราะเวลาขายรองเท้าเขาจะได้แนะนำลูกค้าได้

“ผมย้ำทุกคนว่าต้องบอกรายละเอียดให้ลูกค้าให้ได้มากที่สุดโดยที่ต้องไม่ทำให้ลูกค้ารู้สึกว่าถูกยัดเยียด เราเชื่อว่าอำนาจการตัดสินใจซื้อควรอยู่ที่ลูกค้า ไม่ใช่เพราะว่าพนักงานของเราเชียร์ อยากให้คนที่ซื้อ London Brown ซื้อเพราะว่าชอบรองเท้าของเราจริงๆ

“แล้วถ้าใครซื้อรองเท้าเราไป ถ้าเป็นเคสที่เกิดจากความผิดพลาดทางร้านเราซ่อมให้ฟรีเลยครับ หรือใช้งานไปสักพัก คุณสามารถเอารองเท้ากลับมาให้เราดูแล เคลือบเงา อัดทรงเข้าไปใหม่ ทำทุกอย่างใหม่ได้หมดเลย สึกขนาดไหนเราก็รับเปลี่ยน ราคาที่เราทำให้ยังไงก็ถูกกว่าข้างนอกอยู่แล้ว

“ผมพยายามตรงไปตรงมากับลูกค้าให้ได้มากที่สุด ตลอด 8 ปีที่เปิดร้านมา ผมไม่เคยตั้งราคาเพื่อที่จะบวกกำไรไว้เยอะๆ ไม่เคย sale สินค้าตัวเองเลย โอเค ถ้าคุณมาซื้อคู่ที่สองคู่ที่สามเราอาจจะลดนิดหน่อยได้ หรือการโปรโมต ผมเชื่อในการบอกต่อของลูกค้ามากกว่า ถ้าสินค้าคุณภาพโอเค ราคาสมเหตุสมผล ผมเชื่อว่ายังไงมันก็ไปได้ด้วยตัวของมันเอง”

เปลี่ยนงานคลาสสิกให้สนุกขึ้นด้วยการทดลอง

“สองปีที่แล้วผมทำแบรนด์ L. A. B. by London Brown เพิ่มเข้ามา จริงๆ อันนี้ผมทำขึ้นมาเพื่อสนองความต้องการตัวเอง (หัวเราะ) คือผมทำ London Brown มานานจนมันเริ่มอยู่ตัวของมันแล้ว ผมก็เลยตั้งเป้าหมายใหม่ว่า อยากทำสินค้าตัวเองไปขายที่ญี่ปุ่น แล้วก็โชคดีที่มันไปได้จริงๆ

“คอนเซปต์คือ Classic with Experiment เอารองเท้าทรงคลาสสิกมาทดลองทำใหม่ เช่น เอารองเท้าทรง Loafer มาลดทอนดีเทลโบราณๆ ออก เหลือแค่หน้ากากสี่เหลี่ยมธรรมดา แล้วใส่พื้นรองเท้า sneaker เข้าไป ซึ่งพื้นที่ใช้เป็นพื้นยี่ห้อ vibram จากอิตาลีที่ทนทานและใส่สบาย คือเขาเป็นแบรนด์พื้นรองเท้าที่แบรนด์รองเท้าดังๆ นิยมสั่งมาประกอบ การติดต่อและดีลงานกับโรงงานที่อิตาลีถือว่ายากมากเลยครับ เพราะเขาเองก็เลือกแบรนด์ลูกค้าพอสมควร

“ถ้าเทียบกับปีแรกๆ ตอนนี้แบรนด์ผมโตขึ้นมาก เมื่อก่อนผมดีไซน์เอง ตอนนี้ผมมีน้องๆ ทีมงานมาช่วยเรื่องดีไซน์ ผมก็หันมาดูแลเรื่องไดเรกชั่นของแบรนด์ เน้นการส่งออกไปขายที่สิงคโปร์และญี่ปุ่นมากขึ้น การทำสินค้าแฟชั่นมันมีขึ้นมีลงเป็นเรื่องปกติ มันอาจจะมีวันที่อิ่มตัวก็ได้ แต่ทุกวันนี้ผมถือว่าผมมีความสุขกับการทำงานอยู่เลยอยากจะทำมันต่อไปเรื่อยๆ ถ้าเราได้ทำในสิ่งที่เราชอบจริงๆ เราจะไม่เหนื่อยกับมันเลย”

AUTHOR

PHOTOGRAPHER

ดวงสุดา กิตติวัฒนานนท์

ช่างภาพนิตยสาร a day ผู้ชอบกินอาหารที่ถ่าย