Liguria แคว้นริมหาดในอิตาลีที่สอนให้รู้ว่า ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นก็ตาม ชีวิตย่อมไปต่อ

สถานที่ : เมืองเจโนวา ประเทศอิตาลี
เวลา : ฤดูร้อนปี 2019

รถไฟค่อยๆ ชะลอความเร็วลง นอกหน้าต่างปรากฏให้เห็นทะเลเมดิเตอร์เรเนียนยาวสุดลูกหูลูกตา ฟ้าสีใสตัดกับสีสันของอาคารบ้านช่องตามแบบชาวแคว้นลิกูเรีย เสียงคลื่นที่คลอกับนกนางนวลโดยมีฉากหลังเป็นบ้านเรือนสีสดใสในโทนร้อนเรียงรายบนแนวภูเขาที่โอบล้อมทะเลสีฟ้าทำให้รู้ว่าฉันมาถึงเมืองเจโนวา ประเทศอิตาลีแล้ว

สำหรับนักท่องเที่ยวที่เดินทางมายังตอนเหนือของอิตาลี เมืองนี้ดูจะมีชื่อน้อยกว่าเมืองที่อยู่ใกล้ๆ กันอย่างมิลาน ปิซ่า หรือฟลอเรนซ์ แต่ถ้าใครที่เคยได้ยินชื่อของ Cinque Terre ห้าหมู่บ้านสีลูกกวาดริมทะเลเมดิเตอร์เรเนียน ก็คงจะตามหาเมืองเจโนวาในแผนที่ได้ไม่ยากเพราะอยู่ถัดกันมาแค่ไม่กี่สถานีรถไฟเท่านั้น

Liguria

เจโนวาเป็นเมืองท่าเก่าแก่ตั้งแต่เริ่มสร้างเมืองในช่วงศตวรรษที่ 6 ก่อนคริสต์ศักราชโดยเหล่านักเดินเรือชาวฟินิเชียและอีทรัสคัน ด้วยทำเลที่ติดทั้งทะเลและภูเขา เจโนวาจึงกลายเป็นเมืองท่าที่สำคัญของอิตาลีในสมัยโบราณจนเจริญรุ่งเรืองและร่ำรวยขึ้น ซึ่งร่องรอยความรุ่งเรืองเหล่านี้ก็ถูกทิ้งไว้ให้เห็นมากมาย 

อย่างเขตเมืองเก่าของที่นี่ก็เป็นหนึ่งในสถานที่ซึ่งได้รับการยกย่องเป็นมรดกโลกจากองค์กร UNESCO ที่ถึงแม้จะเก่าแต่ก็ยังเต็มไปด้วยชีวิตชีวา ผู้คนยังคงใช้ชีวิตอยู่ที่นี่เฉกเช่นบรรพบุรุษนักค้าขายและนักเดินทางในยุคก่อน หากลองเดินลัดเลาะไปตามตรอกแคบๆ ของเขตเมืองเก่าก็จะได้ยินเสียงผู้คนพูดคุยกันดังลอดออกมาจากหน้าต่างคลอกับเสียงซ้อมดนตรีที่ลอยมาจากอีกตรอกข้างๆ โดยมีเสียงย่ำเท้าลงบนพื้นหินของผู้คนที่สัญจรไปมาในตรอกคอยให้จังหวะ แทรกด้วยเสียงเด็กๆ วิ่งขึ้นบันไดตึกพลางหัวเราะสะท้อนออกมาข้างนอกเป็นระยะ

บางครั้งบางทีก็มีกลิ่นอบขนมปังสูตรเด็ดของเมืองที่เรียกว่า ‘โฟกัชช่า’ (Focaccia) ลอยมากระทบจมูกยั่วให้หิวเล่นๆ แต่ละตรอกซอกซอยล้วนมีเรื่องราวเฉพาะตัว บางตรอกมีตึกที่มีน้ำตกอยู่ข้างในตึกอีกทีซ่อนอยู่ บางตรอกก็เป็นเขตเลื่องชื่อเรื่องหญิงงามเมืองมาตั้งแต่สมัยเริ่มสร้างเมือง

เล่ากันว่าในสมัยที่สร้างเมืองใหม่ๆ ผังเมืองซับซ้อนจนคนสร้างต้องโรยก้อนกรวดไว้ตามทางเพื่อให้หาทางออกจากตรอกได้ อันที่จริงทริกง่ายๆ ก็คือถ้าเดินขึ้นเนินไปเรื่อยๆ ก็จะไปโผล่ตรงจัตุรัสใจกลางเมือง แต่ถ้าเดินลงเนินไปอีกทางก็จะทะลุไปโผล่ที่ทะเลกว้างสุดลูกหูลูกตา จากตรงนี้ให้ลองเดินเล่นเรื่อยๆ จนออกไปโผล่ที่ท่าเรือเก่าก็จะมองเห็นประภาคารโบราณอยู่ทางขวามือ ตั้งตระหง่านคอยส่องแสงให้นักเดินเรือในยามค่ำคืน เป็นเวลานับหลายร้อยปีที่ประภาคารทำหน้าที่นำทางให้นักเดินเรือผู้เต็มไปด้วยความฝันมากมายทั้งผู้มาเยือนและผู้ออกจากท่าไปผจญภัย

หนึ่งในนั้นคือ Cristoforo Colombo หรือที่คนทั้งโลกรู้จักกันในชื่อ ‘คริสโตเฟอร์ โคลัมบัส’ ชายผู้โด่งดังจากการเดินเรือล่องมหาสมุทรจนค้นพบทวีปอเมริกายังไงล่ะ แม้จะรู้ว่าโคลัมบัสเป็นชาวเจโนวา แต่ก็ยังเป็นที่ถกเถียงกันว่าบ้านของเขาอยู่ตรงเขตไหนกันแน่ บ้างก็บอกว่าอยู่ตรงเขตเมืองเก่าในตัวเมืองเจโนวานี่แหละ แต่บ้างก็บอกว่าอยู่ในเมืองริมฝั่งเล็กๆ ที่อยู่ถัดออกไปซึ่งมีชื่อว่า Cogoleto ต่างหาก ยังไงก็ตาม ทุกครั้งที่ฉันมองออกไปยังผืนทะเลจากที่ตรงนี้และได้รู้ว่าเส้นขอบทะเลที่ปรากฏเบื้องหน้าเคยเป็นเส้นขอบโลกอันท้าทายของเหล่านักเดินทางผู้กล้าหาญ ฉันได้แต่สงสัยและจินตนาการว่าโคลัมบัสและนักเดินทางเหล่านั้นจะรู้สึกยังไงที่ต้องเดินทางจากบ้านไปไกลแสนไกล

เล่าก่อนว่าฉันเองเคยเป็นนักเรียนแลกเปลี่ยนอยู่ที่เจโนวาเกือบหนึ่งปี กลับมาคราวนี้ก็เพื่อมาเยี่ยมผู้คนซึ่งได้ชื่อว่าเป็นบ้านอีกหลังของฉัน หลังจากที่ไม่ได้เจอกันเลยตลอด 6 ปีที่ผ่านมา อันที่จริงในใจลึกๆ ก็แอบหวังว่าอยากจะย้อนเวลากลับไปสมัยที่ตัวเองยังคงเป็นเด็กผู้หญิงตัวเล็กๆ ที่เดินทางข้ามน้ำข้ามทะเลมาผจญภัยถึงที่นี่อย่างไม่กลัวอุปสรรคอะไรหรือเรียกง่ายๆ ว่ากลับมาย้อนความหลังนั่นแหละ

สำหรับฉัน ที่นี่เป็นที่ที่ทำให้ได้รู้จักตัวเองในช่วงวัยรุ่น

พอเข้าสู่ช่วงเปลี่ยนผ่านสู่การเป็นผู้ใหญ่เต็มตัวเลยหอบใจกลับมาพักที่นี่เพื่อหาคำตอบให้ตัวเองอีกสักครั้ง ภาพที่นึกไว้ก่อนเท้าแตะชานชาลาคือคงได้ใช้ชีวิตที่ทุกวันคือการเดินเล่นในเขตเมืองเก่า แวบไปทะเลบ้างเป็นครั้งคราว ไม่นึกไม่ฝันว่าพอเท้าแตะพื้นเมืองเจโนวาได้ไม่ครบหนึ่งวันดี โฮสต์จะบอกให้ฉันแพ็กกระเป๋าไปทะเลกัน ซึ่งไม่ได้หมายถึงแค่ไปทริปสองสามวันแล้วกลับนะ แต่หมายถึงไปใช้ชีวิตริมทะเลกันสักสองสัปดาห์

ตัวฉันเองซึ่งเคยป้วนเปี้ยนอยู่แถวใจกลางเมืองเจโนวาเป็นหลักจึงรีบยัดทุกอย่างลงกระเป๋าแล้วติดสอยห้อยตามเจ้าถิ่นไปทันที

สถานที่ : Lungomare di Liguria
เวลา : เทศกาลแห่งการหยุดพัก

รถเคลื่อนตัวช้าๆ ไปตามเส้นแนวเขาที่เบื้องล่างมีคลื่นทะเลโบกมือทักทาย ลอดผ่านอุโมงค์เก่าที่มีไฟโบราณคอยส่องแสงสีส้มสลัวเป็นระยะเพื่อนำทางไปสู่แสงสว่างของพระอาทิตย์ซึ่งสะท้อนคลื่นทะเลเมดิเตอร์เรเนียนเป็นประกายอยู่ด้านนอก ถนนขนาดหนึ่งเลนที่ทอดยาวเลียบชายฝั่งเป็นระยะราว 4.5 กิโลเมตรคือสถานที่ที่เรียกว่า Lungomare di Liguria หรือ Italian Riviera ซึ่งนับเป็นทางเลียบทะเลเมดิเตอร์เรเนียนที่มีชื่อเสียงแห่งหนึ่งในยุโรป เพราะหากขับเลียบทะเลเมดิเตอร์เรเนียนไปเรื่อยๆ จากตรงนี้จนผ่านพรมแดนประเทศอิตาลี ถนนเส้นนี้จะนำไปสู่ French Riviera ซึ่งเป็นทางเลียบชายฝั่งชื่อดังของประเทศฝรั่งเศส ถนนเส้นนี้จึงเป็นทั้งถนนเส้นสำคัญและเหมาะสำหรับนักท่องเที่ยวที่อยากขับรถชมทิวทัศน์ทะเลและภูเขาที่รายล้อมกันไปตลอดทาง

ฉันมักพูดเล่นๆ เสมอว่าที่แคว้นลิกูเรีย ฤดูร้อนไม่ได้ถูกเรียกว่าฤดูร้อนแต่มันถูกเรียกว่าฤดูไปทะเล หากใครแวะมาเที่ยวแถวนี้ตอนช่วงฤดูร้อนก็อาจสงสัยว่าทำไมในตัวเมืองถึงดูราวกับเป็นเมืองร้าง ร้านรวงส่วนใหญ่ปิดสนิท ผู้คนที่เดินตามท้องถนนก็แทบนับหัวได้ แต่หากลองขยับออกมาจากใจกลางเมืองและมุ่งตรงไปยังชายฝั่งทะเลซึ่งอยู่ห่างออกไปเพียงแค่ 15 นาที ก็จะพบว่าทั้งแถบชายฝั่งล้วนเต็มไปด้วยผู้คนที่หิ้วตะกร้ามานั่งปิกนิกและนอนอาบแดดจนแทบหาที่ว่างไม่เจอ

สาเหตุที่เป็นแบบนี้เพราะวันที่ 15 สิงหาคมของทุกปีเป็นช่วงเทศกาล Ferragosto ซึ่งเดิมในสมัยโรมันโบราณคือเทศกาลเฉลิมฉลองหลังการเก็บเกี่ยว ดังนั้นในช่วงนี้ของปีชาวอิตาลีจึงมักหยุดพักผ่อนยาวจากการทำงานอย่างน้อยที่สุดคือหนึ่งสัปดาห์หรือสำหรับใครที่เหลือวันลาด้วยก็บวกเพิ่มไปอีกจนหยุดงานได้เกือบทั้งเดือนเลยก็มี พอถึงช่วงนี้ของปีทีไร บางคนจึงเลือกหนีร้อนไปอยู่บนภูเขา ส่วนบางคนก็เลือกหนีร้อนมาอยู่ที่ทะเลแทน

สถานที่ที่เราไปตั้งแคมป์อยู่ตรงชายฝั่งระหว่างหมู่บ้านเล็กๆ สองหมู่บ้านที่อยู่ติดทะเลคือ Cogoleto ซึ่งเป็นอีกแห่งที่เชื่อกันว่าเป็นบ้านเกิดของคริสโตเฟอร์ โคลัมบัส และวาราซเซ ซึ่งเป็นเมืองพักตากอากาศยอดนิยมอีกแห่งในแคว้นลิกูเรีย ทั้งสองเมืองนี้เชื่อมต่อกันด้วยทางเดินเลียบทะเลที่เปิดเป็นพื้นที่สาธารณะให้ผู้คนได้มาพักผ่อนหย่อนใจ ไม่ว่าจะเดินเล่น วิ่งจ๊อกกิ้งหรือปั่นจักรยานริมชายฝั่ง ด้วยระยะทางที่ยาวถึง 4.5 กิโลเมตร จึงมีจุดพักผ่อนจัดไว้เป็นระยะ บ้างจัดเป็นสวนเล็กๆ บ้างก็เป็นที่นั่งพักติดริมชายฝั่ง นานๆ ทีถึงมีบาร์กาแฟและร้านเจลาโต้โผล่มาให้เห็น

หลังจากถึงแคมป์และตั้งเต็นท์เสร็จเรียบร้อย โฮสต์แม่กับเหล่าป้าๆ ในแคมป์ชวนฉันปั่นจักรยานไปยังวาราซเซ เพื่อไปตลาดนัดตอนเช้าวันเสาร์ เราปั่นจักรยานไปเรื่อยๆ และทักทายผู้คนที่เดินผ่านไปผ่านมา ทุกคนดูมีความสุขเป็นพิเศษเพราะเป็นเทศกาลแห่งวันหยุด เราเจอครอบครัวที่พาลูกมาปั่นจักรยานเล่น เจอหนุ่มสาวที่เดินหิ้วตะกร้าปิกนิกมานอนอาบแดดริมชายหาด เจอคุณลุงที่มาดำน้ำและตกปลา ส่วนโฮสต์แม่และเหล่าป้าๆ ก็มีความสุขเสียจนผิวปากไปตลอดทางและตะโกนเสียงดังออกไปยังชายทะเลว่า “สุขสันต์วันหยุด!

แต่พวกเราไม่ใช่แค่กลุ่มเดียวหรอกที่มีความสุข เพราะแม้แต่คนที่พายเรือแคนูอยู่ในทะเลก็ยังตะโกนกลับมาเสียงดังว่า “สุขสันต์วันหยุดเหมือนกัน!

วันนี้ที่ตลาดผู้คนคึกคักกว่าที่เคย ทุกคนออกมาจับจ่ายใช้สอยเพื่อเตรียมงานเลี้ยงฉลองต้อนรับเทศกาลแห่งความสุข เหล่าแม่บ้านยืนต่อคิวยาวรอซื้อเนื้อและแฮมที่ร้านรถเข็น ส่วนร้านขนมปังและร้านขายเส้นพาสต้าก็ขายดีเสียจนนวดแป้งแทบไม่ทัน แม้กระทั่งร้านขายเสื้อผ้าก็ขายดีเป็นเทน้ำเทท่าเพราะใครๆ ก็อยากได้ชุดสวยๆ ไปใส่ในช่วงวันหยุดกันทั้งนั้น หลังจากซื้อของในตลาดนัดเสร็จเรียบร้อย เราแวะดื่มกาแฟกันคนละแก้วตามนิสัยคนอิตาเลียนซึ่งเป็นนักกาแฟนิยมเพื่อเติมแรงสำหรับปั่นจักรยานกลับแคมป์

เมื่อถึงแคมป์ ทุกคนเริ่มแบ่งหน้าที่สำหรับงานเลี้ยงที่จะเกิดขึ้นในตอนเย็น พวกผู้หญิงเตรียมอาหารทั้งคาวหวาน พวกผู้ชายก็ทำความสะอาดและตกแต่งสถานที่ ส่วนฉันและเด็กๆ ในแคมป์เป็นลูกมือช่วยเตรียมงาน ทั้งทาสีและประดับดอกไม้ไปทั่วแคมป์สลับกับปั่นจักรยานไปซื้อวัตถุดิบปรุงอาหารเพิ่มเติมจากอีกหมู่บ้านคือ Cogoleto ซึ่งตอนนี้เต็มไปด้วยร้านรวงที่มาตั้งเต็นท์ขายของเลียบชายทะเลเป็นทางยาว ส่วนเด็กผู้ชายบางคนในแคมป์ก็เตรียมชุดดำน้ำและออกเรือลำเล็กๆ เพื่อไปหาอาหารทะเลมาเพิ่ม ฉันอดทึ่งไม่ได้ตอนที่คนหนึ่งในพวกเราเดินกลับมาพร้อมกับถือปลาหมึกยักษ์มาหนึ่งตัว เมื่อถามว่าจับมายังไง เขาก็ยิ้มภูมิใจและบอกว่าดำน้ำแทงฉมวกเอาได้พอดี วันนั้นทั้งวันเราทุกคนเตรียมงานจนแทบไม่ได้นั่งพักแต่ใบหน้าทุกคนกลับเปื้อนด้วยรอยยิ้มที่ได้ใช้เวลาวันหยุดร่วมกันที่นี่

เวลาแห่งความสุขมาถึงเมื่อแขกเริ่มทยอยมาในตอนเย็น แขกในงานต่างคนต่างหอบหิ้วอาหารโฮมเมดห่อเล็กห่อน้อยมาเป็นของฝากให้เจ้าของงานที่เชิญมาในวันนี้ ไม่ว่าจะเป็นขนมปัง แฮม ซาลามี่ หรือขนมเค้ก บางคนหยิบไวน์ติดมือมาด้วยก็มี เราเริ่มงานด้วยการทาน aperitif และไวน์ พูดคุยกันพลางเต้นไปตามจังหวะเพลงสนุกสนานซึ่งเปิดตลอดงาน จนถึงช่วงสองทุ่มเราถึงเริ่มเตรียมโต๊ะสำหรับอาหารเย็น สำหรับคนอิตาลี เวลามื้ออาหารแต่ละมื้อที่นี่จะแตกต่างจากคนไทย ยกตัวอย่างมื้อเย็นซึ่งจะเริ่มทานในช่วงสองทุ่มเป็นต้นไปเพราะการทานอาหารถือเป็นช่วงกระชับความสัมพันธ์ที่คนในครอบครัวจะได้พูดคุยกัน เวลานี้จึงเป็นเวลาที่เหมาะที่สุดที่ทุกคนจะกลับจากการทำงานมาอยู่พร้อมหน้าพร้อมตากัน

มื้อนั้นอาหารจานแล้วจานเล่าถูกยกมาเสิร์ฟพร้อมกับไวน์ชั้นดีหลายขวดที่คนในงานทยอยเปิดพร้อมเสียงปรบมือและโห่ร้องเมื่อจุกไม้คอร์กปิดขวดไวน์ถูกยิงออกไปบนฟ้าดัง ปัง! จนกระทั่งเราทานอาหารทั้งหมดเสร็จตอนเที่ยงคืน โฮสต์แม่จึงลุกขึ้น หยิบแก้วไวน์มาเคาะเพื่อเรียกให้ทุกคนหันมาฟัง “ได้เวลาแล้ว เราออกไปที่ทะเลกันเถอะ”

ฉันที่ตอนนั้นงุนงงกับการที่จู่ๆ ทุกคนก็วิ่งออกไปที่ทะเลตอนกลางคืนพร้อมกับเสียงหัวเราะได้แต่เดินตามไปด้วย เอาวะ! When in Rome, do as the Romans do.

ฉันเดินลอดอุโมงค์เล็กๆ ออกไปยังชายฝั่ง ทะเลเมดิเตอร์เรเนียนที่เคยเป็นสีฟ้าใสในยามกลางวันหายไปแล้ว เหลือเพียงพื้นที่เวิ้งว้างสีดำสนิทซึ่งปรากฏตัวขึ้นเบื้องหน้า ดวงจันทร์ที่เต็มดวงอยู่ด้านบนสะท้อนลงมาบนผืนน้ำทะเลในยามกลางคืนส่งให้ประกายคลื่นสะท้อนแสงลึกลับราวกับไข่มุก ประภาคารเก่าแก่ส่องแสงสว่างสดใสและมีชีวิตชีวาที่สุดในยามกลางคืนซึ่งเป็นเวลาตื่นของมัน โฮสต์พ่อยื่นกระทงกระดาษเล็กๆ ที่มีเทียนอยู่ข้างในมาให้ฉันพร้อมกับจุดไฟตรงปลายเทียนให้สว่างขึ้น พวกเราทยอยกันลงไปในทะเลเพื่อลอยกระทงเทียนออกไปให้ไกลที่สุด

“ขอพรแล้วลอยมันออกไป” พวกเขาบอกฉัน “นี่จะเป็นสัญญาณของการเริ่มต้นใหม่ในปีต่อไป”

ฉันเดินลงไปในทะเล ฝ่าคลื่นที่ซัดมากระทบเป็นระยะ สองมือค่อยๆ วางเทียนลงไปบนผืนน้ำ ชั่วอึดใจเดียวเท่านั้นที่เทียนของฉันสว่างไสวบนผืนน้ำสีดำก่อนจะถูกคลื่นซัดดับและจมลงไปทันที

ฉันหัวเราะ หันไปบอกโฮสต์พ่อว่านี่ล่ะชีวิตฉันในปีที่จะถึงนี้ จมง่ายๆ แบบนี้แหละ

โฮสต์พ่อที่ปกติมักจะเป็นคนชอบเล่นมุกตลกกลับส่งยิ้มเล็กๆ ให้ฉันแทน ในความมืด ฉันเห็นเขามองตรงออกไปที่ประภาคารเก่าแก่ซึ่งเป็นประภาคารเดียวกับที่เคยส่งคริสโตเฟอร์ โคลัมบัส เดินทางออกไปในโลกกว้างใหญ่เพื่อผจญภัย ณ ดินแดนแสนไกลที่เขาไม่เคยรู้จัก

“เธอรู้ไหม พวกเธอยังหนุ่มยังสาว ยังมีทางอีกมากมายรอพวกเธออยู่ข้างหน้า ไม่หรอก มันจะไม่จมง่ายๆ ขนาดนั้น เพราะอะไรรู้ไหม” เขาพูด ฉันปล่อยให้ความเงียบเป็นคำตอบ เขาหันกลับมาแล้วส่งยิ้มที่ทำให้ฉันรู้สึกสงบใจอย่างประหลาด

“เพราะไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นก็ตาม ชีวิตย่อมไปต่อข้างหน้า เธอจะไปต่อ”

ฉันยิ้มรับ มองกลับไปยังประภาคารเดียวกันที่ยังคงส่องแสงสว่างไปยังทะเลสีดำสนิทเพื่อนำทางเหล่านักเดินเรือเฉกเช่นเดียวกับที่มันทำหน้าที่อันซื่อสัตย์ของตนมานานนับร้อยๆ ปี

ในฐานะคนหนุ่มสาวที่ยังต้องเดินเรือออกไปอีกหลายที่ ไม่ว่าคลื่นในคืนนั้นหรือคืนไหนจะเป็นอย่างไร ฉันบอกตัวเองว่าจะไปต่อ เพราะฉันได้เรียนรู้แล้วว่าแสงสว่างคืออะไร

สำหรับนักเดินเรือที่จากบ้านไปแสนไกล แสงสว่างนำทางพวกเขากลับสู่บ้าน … บ้านที่มีครอบครัวรอคอยอยู่

สถานที่ : Brignole สถานีรถไฟใจกลางเมืองเจโนวา, อิตาลี
เวลา : ฤดูร้อนปี 2019

อยู่ๆ ฉันก็นึกถึงตนเองในต้นฤดูร้อนปี 2014 ปีที่ฉันเป็นนักเรียนแลกเปลี่ยนที่อิตาลี ตอนนั้นเป็นครั้งแรกในชีวิตที่ฉันภาวนาให้รถไฟมาช้าที่สุดเท่าที่จะทำได้ เพราะเมื่อรถไฟมาถึงชานชาลา นั่นหมายถึงเวลาของฉันที่เมืองแห่งนี้จะต้องจบลง ผู้คนมากมายเข้ามากอดฉันซ้ำแล้วซ้ำเล่าเพราะเราต่างไม่รู้ว่าจะมีโอกาสได้กอดกันเช่นนี้อีกหรือไม่ รถไฟมาถึงชานชาลา ทุกคนเข้ามารุมกอดฉันก่อนที่ประตูรถไฟจะปิดลงอย่างรวดเร็ว ฉันมองฝ่าหยดน้ำตาออกไปนอกประตู มองไปยังผู้คนที่ทำให้เมืองเจโนวากลายเป็นบ้านอีกหลัง รถไฟเดินหน้า กระชากเอาหัวใจฉันออกไปจากผู้คนที่ได้ชื่อว่าบ้านสำหรับนักเรียนแลกเปลี่ยนหนึ่งคนในตลอดปีที่ผ่านมา กอดครั้งสุดท้ายกลายเป็นกอดที่แน่นที่สุด

ณ ปัจจุบัน ฉันยิ้มให้กับความทรงจำที่ย้อนกลับเข้ามา ยิ้มให้กับผู้คนที่เป็นบ้านอันอบอุ่นในชีวิตซึ่งกำลังโบกมือลาฉันอีกครั้ง ณ ชานชาลาที่ฉันเคยมาถึงและจากลา นึกถึงการเดินทางและคลื่นทะเลทุกลูกที่สอนให้ฉันมองเห็นชีวิต ข้างในใจกลับสงบเมื่อคิดถึงคำที่โฮสต์พ่อบอกฉันว่าชีวิตคนเรามีแต่ต้องเดินหน้าก้าวต่อไป

ฉันตะโกนบอกลาด้วยประโยคเดียวกันกับที่เคยทิ้งท้ายไว้เมื่อหกปีก่อนหน้า

เพียงเสี้ยววินาทีก่อนที่ประตูรถไฟจะปิดลงและกระชากหัวใจฉันออกจากชานชาลาอีกครั้ง

“แล้วฉันจะกลับมา”

แล้วรถไฟก็เคลื่อนต่อไปยังสถานีหน้า ไม่ต่างจากชีวิตฉัน ไม่ต่างจากชีวิตเรา

AUTHOR