Maroon Bells : ตั้งแคมป์ฤดูร้อนบนหุบเขาเมืองหนาวแห่งรัฐโคโลราโด

‘It’s
Colorado Rocky Mountain High’
ท่อนหนึ่งในเนื้อเพลง Rocky Mountain High ของ John
Denver ยังคงดังก้องในหัวเสมอเวลานึกถึงรัฐโคโลราโด รัฐที่ตั้งอยู่บนเทือกเขาร็อกกี้ทางตอนตะวันตกของประเทศสหรัฐอเมริกา
ซึ่งภูเขาน้อยใหญ่ส่วนใหญ่ในรัฐนี้จะเป็นภูเขาหินจริงๆ แต่ละเทือกเขางดงามและมีเสน่ห์แตกต่างกันไป
ถือได้ว่าเป็นสวรรค์ของนักเดินป่าและสกีเลยก็ว่าได้

เมื่อฤดูร้อนในเดือนมิถุนายนมาถึง เราได้มีโอกาสไปแคมป์กับเพื่อนที่ Maroon
Bells ณ เมือง Aspen ซึ่งเป็นภูเขาที่มีความสวยงามทางธรรมชาติเป็นอันดับต้นๆ เพราะมีทั้งเส้นทางเดินป่า ตั้งแคมป์ สัตว์ป่าและทะเลสาบอันสวยงามประกอบด้วยกัน
ดึงดูดทั้งนักท่องเที่ยวและผู้คนเมืองโคโลราโดเองให้มาสัมผัสอยู่ทุกฤดูกาล เรียกได้ว่าไปฤดูกาลไหนก็สวย
แต่ที่เราเลือกฤดูร้อนเพราะหิมะไม่มากจนเกินไปและสามารถตั้งแคมป์ได้สะดวกสบายที่สุดแล้ว เนื่องจากอุณหภูมิกลางคืนไม่ต่ำมากนัก

ทริปนี้เราขับรถไปกับเพื่อนโดยเริ่มที่เมือง
Denver เมืองหลวงของรัฐไปยังเมือง Aspen ใช้เวลาประมาณ
3 ชั่วโมง เราหยุดพักที่เมือง Aspen
ก่อนจะขับรถต่อไปยัง
Maroon Bells อีกประมาณครึ่งชั่วโมง ด้วยความเอ้อระเหยของเรากับเพื่อนจึงทำให้ไปถึง
Maroon Bells เกือบๆ ห้าโมงเย็น และที่เหวอมากไปกว่านั้นคือเราวางแผนกันว่าจะไป car camping กัน ซึ่งที่นี่ต่างกับบ้านเราตรงที่สามารถขับรถไปจอดตรงจุดที่เราจะตั้งแคมป์ได้เลย ไม่ต้องลำบากหิ้วสิ่งของกัน แค่โยนๆ ใส่ในรถก็เป็นพอใช้ได้ แต่ต้องอยู่ในพื้นที่ campground
ซึ่งเป็นจุดที่เจ้าหน้าที่กำหนดไว้

เมื่อไปถึงช้า เรากับเพื่อนเลยพลาดจุด campground สุดท้ายไปจากรถคันข้างหน้า
ทำให้เราสองต้องรื้อของจากรถแล้วยัดใส่เป้ เดินป่าเข้าไปบนเส้นทางของทะเลสาบ Crater
Lake ซึ่งกินเวลาประมาณหนึ่งชั่วโมงนิดๆ ก่อนจะไปถึงจุดตั้งแคมป์ ซึ่งจุดที่เราตั้งแคมป์นั้นติดกับทะเลสาบ สวยงามมาก ทะเลสาบกว้างใหญ่
น้ำใส มองไกลๆ จะเห็นเป็นสีเขียวครึ้ม เย็นตาเย็นใจที่สุด
แล้วยังมีฉากหลังเป็นภูเขาที่ปกคลุมไปด้วยหิมะบางส่วนที่ยังคงไม่ละลาย
เห็นแล้วอยากร้องกรี๊ดในความงามมากๆ เป็นความรู้สึกว่า ‘เรามาถึงแล้วนะ เราทำได้’ จากที่บ่นๆ กันเรื่องต้องหอบข้าวของออกจากรถเดินขึ้นเขามา ความเหนื่อยและเสียงบ่นหายเป็นปลิดทิ้งเมื่อเห็นภาพตรงหน้า
โยนเป้ลงจากหลังแล้ววิ่งไปกรี๊ดหน้าทะเลสาบแทบไม่ทัน

เราไปถึงกันก่อนตะวันตกดินเพียงเล็กน้อยและตั้งแคมป์กันท่ามกลางสายฝนปรอยๆ
บรรยากาศอึมครึม แถมพี่เจ้าหน้าที่ยังกำชับให้ระวังหมีดำด้วย เรากับเพื่อนมองหน้ากันแล้วต่างคิดในใจว่าต้องรอดสินะเพื่อน เพราะแคมป์ที่นี่เป็นป่าจริงๆ กวางเดินเพ่นพ่านโดดหย็องแหย็งข้างๆ เต็นท์เลย
และแต่ละจุดตั้งแคมป์ก็ห่างไกลกัน
ถึงจะมีคนมาแคมป์ก็ให้ความรู้สึกว่าที่นี่มีเพียงสองเราและผืนป่าโดยแท้
คิดกลับไปแล้วก็ขำ แต่ความเป็นจริงเราต่างคนต่างกลัวปนตื่นเต้น
เรานอนแล้วก็ภาวนาในใจว่าอย่าให้หมีเดินมาแถวนี้ละกัน อ้อ! และที่สำคัญแคมป์ที่นี่ห้ามจุดไฟโดยเด็ดขาด เพราะภูเขานี้อยู่สูงประมาณ 10,076 ฟุตจากระดับน้ำทะเล อากาศแห้งมากเสี่ยงต่อการเกิดไฟป่าได้ง่ายดาย
อุณหภูมิกลางคืนอยู่ที่ประมาณ 10 องศาฟาเรนไฮต์
ไม่หนาวมากนักแต่ก็ถือว่ายังหนาวอยู่

ตอนเช้าเราตื่นขึ้นมาเดินป่ากันอีกหน่อยเพื่อเข้าไปดูทะเลสาบที่ลึกเข้าไปในเขาอีกนิด
อากาศจากที่หนาวก็เริ่มร้อนทันทีหลังพระอาทิตย์ขึ้น เรานั่งมองทะเลสาบกันสักพักก่อนจะเก็บข้าวของเดินลงจากเขา
เราชอบการเดินเขาที่นี่อีกอย่างเพราะได้พบเจอเพื่อนร่วมทางเดินที่น่ารัก
อัธยาศัยดี น้ำใจของการเดินป่าที่นี่คือคนที่เดินลงจะหยุดให้คนเดินขึ้นเสมอและทักทายให้กำลังใจกัน
เพราะถือว่าคนเดินขึ้นเหนื่อยกว่าและยังต้องไปต่ออีกเยอะ
แถมการหยุดให้อีกฝ่ายก็ยังเป็นการหยุดพักของเราไปในตัว ยิ่งถ้าครั้งไหนเดินไกลๆ ก็จะคุยจ้อกันนานหน่อย
เพราะถือเป็นการพักนานกว่าเดิม เราว่าน่ารักดี

รูปที่เราเก็บมาฝากส่วนหนึ่งมาจากโทรศัพท์มือถือเราเอง
และส่วนหนึ่งมาจากกล้องฟิล์มของเราด้วย ยินดีที่ได้มาแบ่งปันให้กับทุกคนนะคะ

ใครอยากส่งเรื่องสถานที่น่าเที่ยวมาลงเว็บไซต์ a day online คลิกที่นี่เลย

AUTHOR