W Circuit : เส้นทางเดินเขาบนที่ราบสูงปาตาโกเนียที่ยังระลึกถึง

สมัยเรียนวิชาสังคมศึกษาเมื่อครั้งมัธยมต้น คำว่า ‘ที่ราบสูงปาตาโกเนีย’ ดูจะเป็นคำติดอยู่ในสมองเรามากที่สุด ณ เวลานั้น แต่ด้วยการเรียนแบบท่องจำทำให้เราไม่ได้ใส่ใจว่ามันอยู่ตรงส่วนไหนของทวีปอเมริกาใต้กันแน่

ผ่านเวลามานานจนคำคำนีัเกือบจะหายไปจากความทรงจำ และแล้วเวลาเกือบ 20 ปีให้หลังก็พาเรามายังที่แห่งนี้ เพียงเพราะความเห็นแก่ของถูก ทำให้มือลั่นจองตั๋วเครื่องบินราคาพิเศษไปยังประเทศชิลีโดยไม่มีแผนการเดินทางอะไร แต่เพื่อนร่วมทางก็เสนอความคิดไปอุทยานแห่งชาติ Torres del Paine โดยเดินเส้นทางที่เรียกว่า W Circuit เมื่อศึกษาข้อมูลแล้วก็ตัดสินใจไม่ยากเพราะที่แห่งนี้เป็นส่วนหนึ่งของที่ราบสูงปาตาโกเนีย ชื่อสถานที่ที่ติดอยู่ในความทรงจำของเรานั่นเอง

7 เดือนต่อมา การเดินทางก็เริ่มขึ้น เราเลือกเส้นบินจากกรุงเทพฯ ไปยังซิดนีย์ ซึ่งใช้เวลาประมาณ 9 ชั่วโมง
และจากซิดนีย์บินข้ามมหาสมุทรแปซิฟิกไปยังกรุงซันติอาโก เมืองหลวงของประเทศชิลี ซึ่งใช้เวลาประมาณ 12 ชั่วโมง
เส้นทางนี้สวนทางกับเส้นทางที่คนส่วนใหญ่นิยมบินกัน คือบินไปทางซีกโลกตะวันออก แม้ประหยัดเวลาได้มากกว่าบินไปทางตะวันตก
(อย่างน้อยเกือบ 10 ชั่วโมงเลยทีเดียว)
แต่อาจเป็นเพราะการบินมาทางตะวันออกแบบนี้ทำให้ข้ามเส้นเวลาช้าและเร็วกว่ากรุงเทพฯ
สลับกันไปมา จนอาจทำให้ร่างกายสับสนกับเวลาได้

เมื่อปรับตัวเข้ากับเวลาใหม่ได้แล้ว
เราเริ่มเดินทางต่อจากกรุงซันติอาโก ไปยังเมืองปันตา อารีน่า (Punta Arenas) ทางตอนใต้ของประเทศชิลีโดยใช้เวลาบินประมาณสามชั่วโมงครึ่ง แนวเทือกเขาแอนดีสปรากฏให้เห็นตลอดเส้นทางบิน ความสวยงามจากมุมบนทำให้ยิ่งอยากเห็นเทือกเขาในแนวราบมากขึ้น

จากสนามบินปันตา อารีน่า เราจับรถบัสอีก 2 ชั่วโมงต่อมายังเมืองเปอร์โต นาตาเลส (Puerto Natales) ซึ่งเป็นจุดพักของคนที่จะไปเดินป่ากัน เทียบกันแล้วอาจจะคล้ายกับเมืองโพคารา ของเนปาลที่เป็นจุดพักสำหรับคนที่จะเดินเขาเส้นทางอันนาปุรณะนั่นเอง เราใช้เวลาในเปอร์โต นาตาเลส หนึ่งวันเพื่อเตรียมตัวเดินป่ากันโค้งสุดท้าย
ประสบการณ์ที่เนปาลสอนเราว่าต้องเอาไปแต่ของจำเป็นและน้ำหนักน้อย แน่นอนคำว่าจำเป็นของแต่ละคนคงไม่เหมือนกัน ตัวเราเองจึงมีของจำพวก just in case เยอะมาก เพื่อนที่มีประสบการณ์เดินป่ามากกว่ามาช่วยจัดให้
จนเหลือกระเป๋าใบจิ๋วไปหนึ่งใบที่มีของจำเป็นสำหรับ 5 วัน

ก่อนออกเดินทางจริง
เราเข้าไปฟังบรีฟที่บริษัทลอดจ์จิ้งเกี่ยวกับเส้นทางนี้ที่มีหน้าตาเหมือนตัว W ที่เป็นที่มาของชื่อ W Circuit และมีระยะทางประมาณ
80 กิโลเมตร เมื่อจบการบรรยาย
เจ้าหน้าที่ก็ส่งมอบวอชเชอร์ที่พักที่เรียกว่า Refugio อาหาร ตั๋วรถบัส และตั๋วเรือ พร้อมกับกระติกน้ำที่ระลึกที่กลายมาเป็นของที่สำคัญที่สุดในการเดินทางครั้งนี้

สองชั่วโมงในรถบัสจากตัวเมืองเปอร์โต นาตาเลส ก็พาเรามาถึงตัวอุทยานจริงๆ หลังจากจ่ายค่าเข้าเสร็จ เจ้าหน้าที่ก็พาไปดูวิดีโอเกี่ยวกับอุทยานตลอดจน Do’s and Don’ts ต่างๆ สิ่งที่เจ้าหน้าที่ย้ำที่สุดคือห้ามทิ้งขยะและห้ามจุดไฟนอกบริเวณแคมปิ้งเพื่อป้องกันไฟป่า
วันแรกของโปรแกรมไม่มีการเดิน เราจึงแค่ออกมาเดินเล่นรอบๆ ที่พัก วิวภูเขาที่หิมะและธารน้ำแข็งหรือ Hanging
glacier ปกคลุม วิวที่เห็นใหญ่โตยิ่งนัก พลางกลับคิดในใจว่าเราต้องเดินขึ้นไปจริงๆ หรือนี่

วันที่สองในอุทยานคือการเดินจริงวันแรก เราออกจาก Refugio กันแต่เช้าและเมื่อออกจากที่พักไปไม่นานก็ได้ลิ้มรสของขึ้นชื่อของอุทยานแห่งนี้ ‘ลม’ นั่นเอง เสื้อกันลมบางเฉียบที่เอามาพอช่วยได้เล็กน้อย ความเร็วของลมแปรผกผันกับความเร็วในการเดิน จนเกือบเที่ยงเราก็พาตัวเองไปถึงที่พักคืนที่สอง El Chileno เพื่อถ่ายของในกระเป๋าให้เบาลงก่อนจะขึ้นไปยังแลนด์มาร์กที่สำคัญของอุทยานคือ Las Torres หรือ The Towers แม้จะผ่อนกระเป๋าให้เบาลงแล้วแต่ก็ไม่ได้เดินเร็วขึ้นเพราะทางชันมาก ช่วงท้ายๆ ก่อนถึง Las Torres ก็เรียกว่าคลานกับปีนมากกว่าเพราะทางเป็นหินก้อนโตๆ และลมที่พัดสวนทางมาก็แรงจนต้องย่อตัวลงหรือหลบหลังต้นไม้ หลายๆ ครั้งก็คิดจะหันหลังกลับ แต่คนที่เดินสวนมาก็คอยให้กำลังใจบอกว่ามันคุ้มกับทุกหยาดเหงื่อและความเจ็บปวด

เมื่อมาถึงวิวข้างบน Las Torres ก็สวยจับใจสมคำร่ำลือ โชคดีที่ขึ้นมาทันตอนฟ้ายังใส เพราะขาเดินกลับเจอทั้งลมฝนและหิมะ แต่ก็เป็นภาพประทับใจที่สุดระหว่างเดินวันนี้ก็ว่าได้ ด้วยสภาพอากาศแปรปรวนจึงทำให้การลงไม่ได้ใช้เวลาน้อยกว่าตอนขึ้นมากนัก แต่ก็หอบความภูมิใจเล็กๆ พร้อมข้อเข่าและน่องขาที่เริ่มปวดกลับที่พักคืนที่สองมาได้

วันที่สามของการเดินทางทั้งบริษัทลอดจ์จิ้งและเพื่อนที่เจอระหว่างทางซึ่งเดินทิศทางตรงข้ามกับเรามาบอกว่ามันไม่ยาก ส่วนใหญ่ใช้เวลาแค่สองชั่วโมงครึ่งก็ถึง El Cuerno ปลายทางของวันนี้ ซึ่งก็ทำให้เราสบายใจที่จะได้ถนอมเข่ามากขึ้น ช่วงแรกของการเดินเป็นทางราบอย่างที่ว่า ประกอบกับวิวทะเลสาบสีเทอร์ควอยซ์พร้อมรุ้งกินน้ำและภูเขาหิมะเป็นฉากประกอบตลอดการเดิน แต่ผ่านไป 3 ชั่วโมงแล้วก็ยังไม่ถึงที่พัก ทำให้เริ่มสงสัยว่ามาผิดทางหรือเปล่า แต่ก็เห็นคนที่พักที่เดียวกันเมื่อคืนเดินแซงไปอยู่ตลอด ทำให้แน่ใจว่าไม่ผิดทางเดินไปเรื่อยๆ จนเริ่มหิวและทำให้นึกได้ว่าไม่ได้เอาอาหารเที่ยงมาจากที่พัก โชคดีที่กล้วยตากพลังงานแสงอาทิตย์ที่เตรียมมาและน้ำตามลำธารช่วยชีวิตไว้ แถมยังทำให้รู้จักเพื่อนร่วมทางมากขึ้น แต่ระหว่างที่คุยเพลิน เราก็ซุ่มซ่ามเตะหินก้อนโตจนเจ็บเข่าจี๊ดขึ้นมาจนเดินเร็วไม่ไหว โชคดีที่เป็นช่วงท้ายๆ และเพื่อนที่เดินไปถึงที่พักตั้งแต่ชั่วโมงก่อนก็เดินกลับมารับและคอยจัดแจงน้ำร้อนให้ประคบเพื่อให้หายทันเพื่อเดินต่อวันถัดไป แม้จะผ่านวันนี้ไปอย่างยากลำบาก แต่ก็อบอุ่นใจด้วยมิตรภาพตลอดทางเป็นอย่างมาก

เข้าวันที่สี่ของการเดินทาง อาการเจ็บขาก็บรรเทาลง เพื่อนร่วมทางแนะนำให้เดินเร็วขึ้นเพื่อลดอาการเกร็งของกล้ามเนื้อซึ่งก็ได้ผลอย่างไม่น่าเชื่อ และโชคดีที่ 7 กิโลเมตรสุดท้ายของวันเป็นทางราบเสียส่วนใหญ่เลยทำให้ถนอมเข่าได้มาก แต่ 7 กิโลเมตรที่ว่านี้ก็แลกมาด้วยการเดินสวนลมที่แรงอย่างบ้าคลั่ง ซึ่งป้ายที่จุดพักของ Park Ranger บอกเราว่าลมวันนี้จะแรงสูงสุดที่ 70 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ไม่รู้ว่าลมจริงที่เราเจอมันเร็วแค่ไหน รู้แค่ว่าถึงที่พักที่ Lake Pehoé แล้วหน้าชาหูชาไปหมด

วันที่ห้า วันสุดท้ายของการไฮกิ้ง การเดินวันนี้เป็นไปด้วยความไม่เร่งรีบและก็พาตัวเองมาถึงแคมป์ที่ตั้งอยู่ก่อนขึ้นธารน้ำแข็งตั้งแต่ครึ่งวันแรก แต่ด้วยอากาศที่เริ่มขมุกขมัวประกอบความกลัวว่าจะกลับมาไม่ทันเรือจึงไม่ได้เดินขึ้นไปดูธารน้ำแข็งและเดินกลับลงมา แอบเสียดายเล็กๆ ทีหลังเมื่อเพื่อนบอกว่าจริงๆ เดินไปจากแคมป์อีกไม่เยอะก็จะถึงแล้ว

ตลอดการเดินทางในทวีปนี้ เราไม่ได้แวะซื้อของที่ระลึกมากนักเนื่องจากต้องถนอมหลังและต้องเดินทางหลายที่ แต่ทุกสิ่งที่พบเจอก็เป็นสิ่งที่ทำให้ ‘ระลึก’ ถึงประสบการณ์ที่นี่เป็นเสมอ นึกย้อนถึงคำว่า ‘ของที่ระลึก’ ในหลายภาษาทั้ง Recuerdo ในภาษาสเปน หรือ Souvenir ที่ใช้ทั้งในภาษาอังกษและภาษาฝรั่งเศส ทุกคำล้วนมีความหมายถึงความทรงจำหรือสิ่งที่ทำให้ระลึกถึงเหมือนกัน 🙂

W Circuit

address: Torres del Paine National
Park, Magallanes y la Antártica Chilena Region, Chile

how to get there: นั่งเครื่องจากกรุงซันติอาโกไปยังเมืองปันตา อารีน่า ใช้เวลาประมาณ
3 ชั่วโมงครึ่งถึง 4 ชั่วโมง จากนั้นนั่งรถบัสจากสนามบินหรือในตัวเมืองปันตา อารีน่า ไปยังเมืองเปอร์โต นาตาเลส ประมาณ 2
ชั่วโมง จากเมืองนี้มีบริษัททัวร์มากมายเพื่อจัดการเรื่องที่พักต่างๆ ในอุทยานตลอดการเดินทาง
ราคาส่วนใหญ่จะรวมค่าเดินทางระหว่างอุทยานกับเมืองเปอร์โต นาตาเลส ค่าเข้าอุทยาน อาหาร และที่พักแล้ว

visiting time: ตลอดทั้งปี แต่ช่วงที่เหมาะสมกับการเดินคือตุลาคมถึงเมษายน ซึ่งเป็นฤดูร้อนและฤดูใบไม้ผลิ

map

ใครอยากส่งเรื่องที่น่าเที่ยวมาลงเว็บไซต์ a day online คลิกที่นี่เลย

AUTHOR