‘The Volvo Way: Freedom to Experience’ : นวัตกรรมการขับขี่ยุคใหม่ที่ยืนยันว่าการใช้รถก็รักษ์โลกได้

‘The Volvo Way: Freedom to Experience’ : นวัตกรรมการขับขี่ยุคใหม่ที่ยืนยันว่าการใช้รถก็รักษ์โลกได้

Highlights

  • ตลาดยานยนต์ยุคใหม่มีการออกแบบที่คำนึงถึงสิ่งแวดล้อมมากขึ้น ไม่ใช่แค่การปล่อยควัน เผาไหม้พลังงานเท่านั้นแต่ยังตั้งต้นตั้งแต่การออกแบบวัสดุต่างๆ เช่นเดียวกันกับ Volvo แบรนด์รถยนต์จากสวีเดนที่ให้ความสำคัญทั้งสิ่งแวดล้อมและความปลอดภัยของผู้ใช้
  • งาน ‘The Volvo Way: Freedom to Experience’ จัดขึ้นตั้งแต่วันที่ 9-18 สิงหาคม 2562 สัมผัสกับนวัตกรรมยานยนต์ในสไตล์สวีดิช และรถยนต์ที่ทำมาจากพลาสติกรีไซเคิล ณ ลานหน้าอิเกีย บางนา

ในยุคนี้ การขับรถยนต์กับการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมไม่ได้เป็นเรื่องคู่ขนานกันอีกต่อไป เมื่อตลาดยานยนต์ยุคใหม่มีการสร้างมาตรฐานในการจัดการสิ่งแวดล้อมแบบครอบคลุมหลายด้าน และยังมีนวัตกรรมที่พิสูจน์ว่าปัญหาสิ่งแวดล้อมสามารถเยียวยาได้ ผ่านกระบวนการออกแบบและการคิดค้นนวัตกรรม การใช้รถยนต์ในยุคนี้จึงอาจเป็นการช่วยสิ่งแวดล้อมในทางใดทางหนึ่งเสียด้วยซ้ำ

สำหรับผู้ผลิตรถยนต์บางรายอาจโฟกัสไปที่การผลิตรถเพื่อป้อนตลาดให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้ โดยไม่ได้คำนึงถึงมลภาวะอีกพวงใหญ่ที่ห้อยท้ายไปกับกระบวนการผลิตนั้น

แต่กับรถยนต์ Volvo แบรนด์รถยนต์อันเป็นตำนานจากสวีเดน กลับพยายามบอกเล่าเรื่องความยั่งยืนของสิ่งแวดล้อมไปพร้อมๆ กับเรื่องความปลอดภัย และพยายามเอานวัตกรรมมาเสริมเพื่อทำให้การผลิตรถยนต์เป็นมิตรกับโลกมากขึ้น ทั้งการนำระบบพลังงานไฟฟ้ามาใช้ และการนำพลาสติกรีไซเคิลมาใช้เป็นชิ้นส่วนภายในรถยนต์ ซึ่งนั่นล่ะ–ความแตกต่าง

เรามีโอกาสไปเยี่ยมชมงาน The Volvo Way: Freedom to Experience ครั้งที่ผ่านมา วอลโว่ขนขบวนรถยนต์รุ่นใหม่ทั้ง XC40, XC60, XC90 และ S90 มาอวดโฉมกลางลานมรกต ศูนย์การค้าเซ็นทรัลชิดลม ให้เราได้ชมนวัตกรรมยานยนต์ล้ำๆ สไตล์สแกนดิเนเวียนกันอย่างจุใจ

ไฮไลต์ของงานที่มองเห็นได้แต่ไกล และกระชากความสนใจจากเราได้อยู่หมัด คือลู่วิ่งรถยนต์ลอยฟ้าที่ไต่ระดับจากพื้นดินสู่ด้านบนเป็นเกลียววน ให้ความรู้สึกล้ำยุคเหมือนหลุดไปอยู่อีกมิติหนึ่ง

ลู่รถยนต์ที่ว่านี้เป็นสนามทดสอบขนาดย่อมที่วอลโว่เปิดโอกาสให้ผู้สนใจได้ร่วมทดสอบสมรรถนะ ลองขับ และทดสอบฟีเจอร์ความปลอดภัยต่างๆ ในรถยนต์วอลโว่ แต่ไม่ต้องกลัวว่าจะนั่งเพลินจนพลาดดีเทลสำคัญๆ เพราะงานนี้มีนักขับมืออาชีพประกบอย่างใกล้ชิดเพื่ออธิบายการทำงานของเทคโนโลยีภายในรถยนต์อย่างละเอียดอีกด้วย

โซนด้านล่างยังมีกิจกรรม Green Workshop ที่จัดให้ผู้เข้าร่วมงานได้ลองทำของใช้จากพลาสติกรีไซเคิล เช่น ที่รองแก้วและกระถางต้นไม้จากฝาขวดน้ำ เพื่อแสดงให้เห็นว่าขยะพลาสติกสามารถนำมาเพิ่มมูลค่าได้มหาศาลหากนำมาผ่านการคิด ประดิษฐ์ และออกแบบเป็นผลิตภัณฑ์ใหม่โดยผ่านการ upcycling หรือการรีไซเคิลเพื่อเพิ่มมูลค่า ซึ่งรถยนต์วอลโว่เองก็นำขยะพลาสติกมารีไซเคิลเพื่อใช้เป็นชิ้นส่วนในรถยนต์รุ่นใหม่ถึง 16 กิโลกรัมต่อคัน!

ในงานเราได้มีโอกาสคุยกับ ฌอง–ดาวิด อาเรล ผู้อำนวยการฝ่ายการตลาด วอลโว่ คาร์ (ประเทศไทย) เกี่ยวกับเรื่องธุรกิจยานยนต์และความยั่งยืนด้านสิ่งแวดล้อม โดยฌองเกริ่นให้เราฟังคร่าวๆ ว่าวอลโว่ตระหนักเรื่องความยั่งยืนไม่น้อยไปกว่าเทคโนโลยีความปลอดภัยซึ่งเป็นเหมือนดีเอ็นเอของแบรนด์มาตั้งแต่ต้น ซึ่งตอนนี้วอลโว่ยังให้ความสำคัญกับเรื่อง sustainability หรือความยั่งยืนไม่แพ้เรื่องความปลอดภัย ตามปรัชญาของการออกแบบของแบรนด์ที่คำนึงถึง ‘คน’ เป็นหัวใจหลักสำคัญในการทำงาน

“ทุกๆ สิ่งที่เราคิด เราคำนึงถึงคนเป็นสำคัญ เราเข้าใจในผู้คน เราปกป้องสิ่งที่สำคัญสำหรับพวกเขาและเราต้องการสร้างประสบการณ์พิเศษให้พวกเขา” ฌองกล่าวย้ำ

พูดมาถึงตรงนี้ หลายคนอาจจะสงสัยว่า แล้ววอลโว่กำลังพัฒนารถยนต์ให้ตอบโจทย์ความยั่งยืนยังไง

เราขอแนะนำให้คุณจับพวงมาลัยให้แน่น แล้วเลี้ยวโค้งไปฟังฌองอธิบายพร้อมๆ กันที่บรรทัดถัดไป

 

‘The Volvo Way’ : เส้นทางผู้บุกเบิกนวัตกรรมความปลอดภัยสำหรับทุกคน

ถ้าหากยังจำกันได้ วอลโว่คือบริษัทรถยนต์เจ้าแรกที่คิดค้นเข็มขัดนิรภัยแบบ 3 จุดที่เราเห็นกันจนชินตาในรถยนต์แทบทุกคัน วอลโว่นำเข็มขัดนิรภัยมาใช้เป็นครั้งแรกในปี 1959 และได้แบ่งปันนวัตกรรมนี้แก่ผู้ผลิตรถยนต์รายอื่นๆ เพื่อส่งมอบความปลอดภัยแก่ผู้ใช้รถใช้ถนน ซึ่งเข็มขัดนิรภัยที่ว่านี้ได้กลายเป็นนวัตกรรมที่เปลี่ยนแปลงวงการยานยนต์ไปตลอดกาล เพราะเป็นสิ่งประดิษฐ์ที่ช่วยลดอุบัติเหตุ ลดความสูญเสีย และปกป้องชีวิตผู้คนทั่วโลกจากการใช้รถใช้ถนนมากกว่า 1 ล้านชีวิตทั่วโลก

ตลอดเวลาที่ผ่านมาวอลโว่ให้ความสำคัญกับความปลอดภัยเป็นหลัก เสมือนเป็นดีเอ็นเอของแบรนด์ และยังมุ่งนำเสนอเทคโนโลยีที่ดีที่สุดเพื่อป้องกันอุบัติเหตุและความสูญเสียของผู้ใช้รถใช้ถนนอย่างต่อเนื่อง

วอลโว่ฉลองหลักชัยสำคัญและเน้นย้ำถึงวัฒนธรรมการแบ่งปันที่อยู่เหนือเรื่องสิทธิบัตร โดยได้เปิดตัวโครงการ ‘Project E.V.A.’ ซึ่งหลักใหญ่ใจความเป็นประเด็นเรื่อง ‘ความไม่เท่าเทียม’ ในการพัฒนาเทคโนโลยีด้านความปลอดภัยในรถยนต์ที่ออกแบบมาเพื่อเพศชายเป็นหลัก โดยวอลโว่สร้างนวัตกรรมที่ทำให้เห็นว่าระบบความปลอดภัยต่างๆ ต้องมีการออกแบบมาเพื่อปกป้องสรีระของผู้หญิงเมื่อเกิดการชนปะทะด้วย ไม่ใช่แค่ออกแบบมาเพื่อผู้ชายเท่านั้น ซึ่งกลายมาเป็นแนวคิดสำคัญของการพัฒนาระบบความปลอดภัยในรถยนต์วอลโว่ที่ว่า ‘รถยนต์ต้องปกป้องผู้โดยสารทุกคนได้’

วอลโว่มุ่งมั่นมาตลอดเพื่อรักษาตำแหน่งผู้นำในอุตสาหกรรมรถยนต์ระดับโลกทั้งในด้านเทคโนโลยีความปลอดภัย การใช้พลังงานไฟฟ้า รวมทั้งการขับขี่อัตโนมัติที่ทั่วโลกกำลังให้ความสนใจ และยังคงท้าทายตนเองอย่างต่อเนื่อง โดยวอลโว่ได้นำเสนอเทคโนโลยีสุดล้ำให้เป็นฟังก์ชั่นมาตรฐานของรถยนต์นับตั้งแต่รุ่น XC40, XC60, XC90 และ S90 พร้อมเพิ่มมาตรฐานความปลอดภัยเพื่อผู้ขับขี่ทุกคน

 

รถยนต์ไฟฟ้าคืออนาคต

วอลโว่ตั้งเป้าหมายให้รถยนต์ 50 เปอร์เซ็นต์ที่จำหน่ายภายในปี 2025 เป็นรถยนต์พลังงานไฟฟ้า ซึ่งวอลโว่ได้ประกาศความมุ่งมั่นนี้เป็นรายแรกในอุตสาหกรรมยานยนต์ตั้งแต่ปี 2017 ว่ารถยนต์ทุกรุ่นที่จะเปิดตัวตั้งแต่ปี 2019 เป็นต้นไป จะต้องเป็นรถยนต์แบบปลั๊กอินไฮบริดหรือรถยนต์ที่ใช้แบตเตอรี่พลังงานไฟฟ้าเท่านั้น

ฌองอธิบายหลักการทำงานของรถยนต์วอลโว่รุ่นใหม่คร่าวๆ ว่ามีระบบการขับเคลื่อนด้วยกัน 2 ระบบหลักๆ ระบบแรกคือ Hybrid Mode ที่ใช้เครื่องยนต์แบบ Twin Engine คือสามารถใช้พลังงานจากมอเตอร์ไฟฟ้า ผสานกับเครื่องยนต์แบบเผาไหม้เพื่อสร้างกำลังเครื่องสูงสุด ข้อดีคือช่วยลดไอเสียเพราะสามารถสลับโหมดมาใช้ระบบไฟฟ้าได้

ส่วนระบบที่สองคือ Pure Mode หรือระบบที่ใช้พลังงานไฟฟ้าล้วน โดยในรถยนต์รุ่นใหม่ของวอลโว่ โหมดการขับขี่ Pure Mode จะเลือกจ่ายพลังงานไฟฟ้าอย่างเดียวเมื่อแบตเตอรี่ได้รับการประจุไฟจนเต็ม ข้อดีคือช่วยลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกและช่วยประหยัดค่าน้ำมัน

โดยรถยนต์รุ่น XC60 และ XC90 ที่ติดตั้งเครื่องยนต์ T8 Twin Engine Plug-In Hybrid และการขับขี่แบบ Pure Mode จะช่วยลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกอีกด้วย

ฌองเล่าถึงแนวโน้มของรถยนต์พลังงานไฟฟ้าว่า “ปัจจุบันมีปัญหามลพิษ เทคโนโลยีรถยนต์ไฟฟ้าจึงเข้ามาตอบโจทย์ตรงนี้ สิ่งที่ท้าทายคือการปรับจูนมายด์เซตของผู้คน ซึ่งบริษัทยานยนต์ต้องเข้ามาให้ความรู้ที่ถูกต้องในส่วนนี้ด้วย

“สิ่งที่ผมอยากบอกคือ เราควรช่วยกันแบบค่อยๆ เป็น ค่อยๆ ไป ความตั้งใจของเราคืออยากให้รถยนต์ไฟฟ้าเป็นทางเลือกหนึ่งของผู้ใช้รถยนต์ ในรถยนต์ของวอลโว่เองก็มีโหมดที่จะสลับจากน้ำมันมาใช้พลังงานไฟฟ้าได้ ซึ่งเป็นทางเลือกที่ช่วยให้ผู้ใช้รถประหยัดการใช้น้ำมัน และยังช่วยรักษาสิ่งแวดล้อม เพราะโหมดการขับขี่พลังงานไฟฟ้า จะไม่ปล่อยก๊าซเรือนกระจกที่สร้างมลพิษแก่โลก”

 

รถยนต์ที่ช่วยลดมลภาวะและแก้ปัญหาพลาสติกด้วยนวัตกรรม

ปัญหาคลาสสิกของการผลิตรถยนต์คือพลาสติกจำนวนมหาศาลในการประกอบชิ้นส่วนรถยนต์ วอลโว่จึงประกาศคำมั่นสัญญาว่า “นับตั้งแต่ปี 2025 เป็นต้นไป รถยนต์รุ่นใหม่ที่เตรียมจะผลิตออกสู่ตลาด จะต้องมาจากพลาสติกรีไซเคิลอย่างน้อย 25 เปอร์เซ็นต์ เพราะขยะพลาสติกสามารถนำมารีไซเคิลใช้ใหม่ได้ในบางส่วนของรถยนต์”

ฌองเล่าเป้าหมายหลักให้ฟังพร้อมขยายให้เห็นว่า การพัฒนาส่วนประกอบรถยนต์รุ่นใหม่ให้สอดคล้องกับแนวคิดความยั่งยืนมากที่สุด เป็นเรื่องจำเป็นและเร่งด่วน โดยเฉพาะการใช้พลาสติกรีไซเคิลให้มากขึ้นเพื่อแทนที่ virgin plastic ในชิ้นส่วนรถยนต์

ที่สำคัญคือการนำวัสดุรีไซเคิลมาใช้เป็นส่วนประกอบในตัวรถ ยังคงความเป็นรถหรูสัญชาติสวีดิชไว้ได้อย่างครบถ้วน ทั้งยังพิสูจน์ว่าปัญหาพลาสติกสามารถเยียวยาได้ด้วยการออกแบบ ที่มั่นใจได้ในเรื่องของประสิทธิภาพ

ที่น่าทึ่งกว่านั้นคือการรีไซเคิลพลาสติกเพื่อนำมาทำส่วนประกอบรถยนต์ไม่ได้ทำขึ้นเพื่อเป็นแค่รถตัวอย่างหรือแค่โครงการนำร่องระยะสั้นๆ เท่านั้น แต่วอลโว่ทำจริง ขับจริงได้ และขายจริงแล้ว ดังเช่น XC60 T8 plug-in hybrid SUV รุ่นพิเศษที่ดูเหมือนกับรุ่นอื่นทุกประการ เพียงแต่ส่วนประกอบที่เป็นพลาสติกเดิม ถูกแทนที่ด้วยพลาสติกรีไซเคิลที่มีคุณสมบัติเทียบเท่ากัน

ฌองอธิบายเรื่องการนำขยะพลาสติกมาใช้และแหล่งที่มาของวัสดุรีไซเคิลแต่ละชนิดว่า “เราได้ลองนำพลาสติกรีไซเคิลมาใช้เป็นส่วนประกอบในรถยนต์แล้วแทนที่พลาสติกใหม่ ซึ่งมีน้ำหนักรวมประมาณ 16 กิโลกรัม พลาสติกรีไซเคิลพวกนี้มาจากตาข่ายจับปลาของชาวประมงที่ไม่ใช้งานแล้ว ส่วนเส้นใยที่รีไซเคิลมาจากขวดน้ำพลาสติกและเศษผ้าฝ้ายในโรงงานตัดเย็บเสื้อผ้าก็นำมารีไซเคิลเป็นพรมในห้องโดยสาร”

นอกจากพลาสติกที่นำมารีไซเคิลใหม่ วอลโว่ได้นำบางส่วนของเบาะรถยนต์เก่ามารีไซเคิลเป็นวัสดุใหม่ด้วย เช่น เบาะนั่งจากรถยนต์วอลโว่คันเก่าก็ถูกนำมาใช้เพื่อผลิตวัสดุดูดซับเสียงเครื่องยนต์ใต้ฝากระโปรงรถ

“การที่เราใช้วัสดุรีไซเคิล ไม่ได้เป็นการบอกว่าเราเป็นเจ้าของลิขสิทธิ์แบบผูกขาด แต่สิ่งที่เราทำคือการคิดค้นนวัตกรรมเพื่อให้แพร่กระจายออกไปในบริษัทยานยนต์เจ้าอื่นๆ ด้วย ไม่จำเป็นต้องเก็บเป็นความลับ แต่เราเป็นส่วนหนึ่งของการสร้างนวัตกรรมต่างๆ เพื่อสร้างความยั่งยืนให้สังคมแห่งการขับขี่ และความยั่งยืนด้านสิ่งแวดล้อม

นอกจากการใช้พลาสติกรีไซเคิลในรถยนต์แล้ว ฌองยังเล่าเสริมว่านโยบายลดการใช้พลาสติกยังได้นำมาใช้ในออฟฟิศของวอลโว่เองด้วย

“เราคิดต่อถึงเรื่องการใช้ชีวิตในบริษัทด้วย ว่าทำยังไงถึงจะอยู่ได้อย่างยั่งยืน เราพยายามอธิบายให้ลูกค้าฟังว่าเราสามารถช่วยกันลดปัญหาพลาสติก โดยเริ่มจากอะไรที่เล็กๆ น้อยๆ ในชีวิตประจำวัน ซึ่งผมคิดว่าการจะโน้มน้าวให้คนทำตามต้องเริ่มจากทำให้ดูก่อน ในออฟฟิศวอลโว่เรามีนโยบายแบนพลาสติกออกจากออฟฟิศ ทั้งถ้วยพลาสติก ถุงพลาสติก พนักงานทุกคนต้องเอาภาชนะมาเอง เพราะการที่เราจะทำแคมเปญให้ความรู้กับผู้คน บริษัทเราต้องเริ่มก่อน และการที่เรากล้าให้คำมั่นสัญญาที่แข็งแกร่งกับสังคมว่าภายในปี 2025 รถยนต์ที่ผลิตออกมาต้องประกอบด้วยชิ้นส่วนที่มาจากพลาสติกรีไซเคิล การจะทำให้ใครเชื่อ เราต้องทำให้เห็นจริงก่อน ว่านี่ไม่ใช่แค่แคมเปญเพื่อการประชาสัมพันธ์ แต่เราต้องทำให้เห็นจริงๆ ว่า การนำพลาสติกสามารถนำมารีไซเคิลเป็นส่วนประกอบรถยนต์ มันเป็นไปได้”

ฌองกล่าวว่าสิ่งสำคัญของการสร้างนวัตกรรมคือการเป็นแบบอย่างเพื่อเผยแพร่ไอเดียสู่สาธารณะมากกว่าการเก็บไว้เป็นความลับเพื่อประโยชน์ในการค้า

ฌองทิ้งท้ายกับเราว่า “ที่วอลโว่ เราเชื่อมั่นว่าทุกคนสามารถร่วมแรงกันคนละเล็กละน้อยเพื่อสร้างการเปลี่ยนแปลงที่ยิ่งใหญ่ได้ แน่นอนว่าเราไม่สามารถเปลี่ยนแปลงโลกได้ภายในวันเดียว แต่เราสามารถเผยแพร่ความตระหนักรู้และสร้างแรงบันดาลใจให้ผู้คนเข้าร่วมในเป้าหมายนี้ได้”


สู่เส้นทาง The Volvo Way: Freedom to Experience’ ครั้งต่อไป 

นอกเหนือจากนวัตกรรมที่นำพาแวดวงยานยนต์ไปสู่มาตรฐานที่ดียิ่งขึ้น งาน ‘The Volvo Way: Freedom to Experience’ ยังเป็นความพยายามในการสร้างความตระหนักเรื่องสิ่งแวดล้อมให้ออกไปสู่ผู้คนวงกว้างอีกด้วย การทำให้ผู้คนเข้าใจและเปลี่ยนมายด์เซตให้หันมาใช้รถยนต์ไฟฟ้านับเป็นเรื่องที่ท้าทาย กระนั้นแนวโน้มของผู้ผลิตยานยนต์ส่วนใหญ่จะหันไปผลิตรถยนต์ไฟฟ้ามากขึ้น ซึ่งเป็นเรื่องน่ายินดี

งาน ‘The Volvo Way: Freedom to Experience’ ครั้งต่อไป จะจัดขึ้นในวันที่ 9-18 สิงหาคม 2562 ในเวลา 11:00-22:00 น. ที่ลานหน้าอิเกีย เมกา บางนา ใครที่สนใจอยากมาสัมผัสนวัตกรรมยานยนต์ในสไตล์สวีดิช สัมผัสรถยนต์ที่ทำมาจากพลาสติกรีไซเคิลด้วยมือของตัวเอง ทำความรู้จักรถยนต์ไฟฟ้าและเครื่องยนต์ไฮบริดให้มากอีกนิด และเรียนรู้แนวคิดสู่ความยั่งยืนในแบบของวอลโว่ด้วยตัวเอง งานนี้รวมไว้ให้คุณหมดแล้ว

นอกจากนวัตกรรมยานยนต์สุดล้ำที่วอลโว่ขนมาให้ชมแบบใกล้ชิดในงานนี้แล้ว ยังมีโซนกิจกรรม Green Workshop สุดสนุกที่ชวนให้ทุกคนมาร่วมปกป้องโลกด้วยสองมือของคุณอีกด้วย เราพูดได้เลยว่านี่คืองานที่คุณ ‘ห้ามพลาด’ ด้วยประการทั้งปวง

 

 

AUTHOR