ยอดมนุษย์ดาวเศร้า : เรื่องมีอยู่ว่า เราล้วนเป็นตัวแปรในชีวิตกันและกัน

ชื่อหนังสือ: ยอดมนุษย์ดาวเศร้า
ผู้เขียน: องอาจ ชัยชาญชีพ
สำนักพิมพ์: เป็ดเต่าควาย

มนุษย์เป็นสัตว์สังคม

นี่คือสิ่งที่ฉันเรียนมาตั้งแต่เด็ก
และยิ่งโตก็พบว่าคงยากที่ชีวิตจะมีจำนวนมนุษย์ผู้เกี่ยวข้องเป็นศูนย์ เช่นเดียวกับเหล่าตัวละครทั้ง 9 ใน
ยอดมนุษย์ดาวเศร้า’ การ์ตูนเล่มล่าสุดของ องอาจ ชัยชาญชีพ ทางใดทางหนึ่ง ชีวิตพวกเขาล้วนเกี่ยวพันกับตัวละครอื่น
บางคนเป็นนักเขียนที่ไม่เคยเจอหน้า บางคนเป็นเจ้านาย อีกบางคนคืออดีตคนรัก

จริงอยู่ว่าในแวบแรก ชีวิตหลากหลายของตัวละครที่ถ่ายทอดผ่านลายเส้นเรียบง่ายขององอาจแบบ 1 บท 1 ตัว คล้ายเป็นเรื่องปัจเจกที่มีชีวิตแสนเหงาเศร้า หลายคนคิดถึงความตาย บางคนเปรียบตัวเองเหมือนเจ้าวาฬ 52 Hz ที่สื่อสารด้วยคลื่นความถี่ไม่เหมือนวาฬตัวไหน
ทำให้มันต้องใช้ชีวิตเปลี่ยวดายตลอดมา แต่อย่างที่บอก
ทุกคนในเล่มนี้ล้วนไม่ได้อยู่ลำพัง และ ยอดมนุษย์ดาวเศร้า ก็พาเราลงพื้นที่สำรวจการมีอยู่ของสายสัมพันธ์
บอกให้รู้ว่าไม่ว่าจะเพียงสัมผัสกัน ณ ตรงขอบชีวิต หรือก้าวมาซึมลึกอยู่ในหัวใจ การเกี่ยวโยงซึ่งโฟกัสไปที่เหล่าตัวละครหลักของเรื่องนี้ล้วนไม่ใช่แค่การมาพบกัน
แต่คือสิ่งที่ส่งแรงสะเทือนไปเปลี่ยนแปรรูปชีวิตตัวละคร

ดังที่บนปกหนังสือบอกไว้ว่า ‘เราต่างเป็นผู้กระทำ ถูกกระทำ และเยียวยาซึ่งกัน’ แรงนี้เองคือผู้ดึงพวกเขาสู่หุบเหวของความสิ้นหวังเดียวดาย
เช่น ความผิดหวังในรักกับหญิงสาวกระตุ้นให้ ‘ขิง’ ไม่อยากมีชีวิตอยู่ แต่แรงนี้เองก็คือสิ่งที่ฉุดพวกเขาขึ้นมาเมื่อเรื่องดำเนินต่อ
เช่น ‘บอยจัง’ อ่านงานเขียนของนักเขียนคนหนึ่งแล้วพบว่าเขาไม่เดียวดายอีกต่อไป เพราะเขาและนักเขียนล้วนเป็นเหมือนวาฬ
52 Hz และบางบทในเล่มยังชวนให้คิดว่า แรงสั่นสะเทือนอาจไม่ได้เกิดขึ้นจากคนอื่นรอบตัวด้วยซ้ำ
แต่เกิดจากการมีอยู่ของเรากับตัวเราเอง คุณเคยปรึกษาถกเถียงกับตัวเองไหม
ผลลัพธ์เป็นอย่างไร นั่นคือแรงสะเทือนที่ทำให้ชีวิตเปลี่ยนไปเช่นเดียวกันไม่ใช่หรือ

ฉันยังคิดเหมือนตัวละครหนึ่งในเล่ม
ว่าชีวิตเราจะไปในทิศไหน หลักๆ เกิดจากการเลือกของเราเองไม่เกี่ยวกับใครอื่น แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้จริงๆ
ว่าเราล้วนเป็นตัวแปรในชีวิตกันและกัน จะรู้ตัวหรือไม่ จะตั้งใจและละเลย ประโยคธรรมดาที่เผลอพูดออกไป
การกระทำที่เราหลงลืม เหล่านี้ล้วนอาจสั่นสะเทือนชีวิตใครอีกคน

ใจเขาใจเรา-จู่ๆ
คำแสนคลิเช่ที่เคยได้ยินก็ผุดขึ้นมา บางทีมันก็อาจเป็นเรื่องแบบนั้น แต่หนึ่งในสิ่งที่ฉันชอบที่สุดในหนังสือเล่มนี้ก็คือ
มันเล่าด้วยท่าทีไม่ตัดสินสั่งสอนมากนัก
ถึงจะมีบทสรุปตอนท้ายที่ดูเป็นบทสรุปอยู่บ้าง
แต่ในภาพรวมเราจะไม่รู้สึกเหมือนโดนผู้ใหญ่เข้าใจชีวิตมาเล่าเรื่องและฟันธง
ถ้าจะให้เปรียบเทียบ ก็คงเหมือนบางบทที่ตอนท้ายตัวละครเลือกบางเส้นทางให้ตัวเอง
แล้วบอกว่า อืม ยังไม่ค่อยเข้าใจอะไรหรอก แต่ช่างแม่งเถอะ แล้วก็ใช้ชีวิตต่อไป

เพราะอย่างนั้นจะไม่ฟันธงว่า
หนังสือเล่มนี้ต้องอ่านนะ! แต่ขอบอกว่าสำหรับแฟนๆ พี่องอาจ-เราคงเข้าใจกันดีอยู่แล้ว
คนที่อ่อนไหวหรือกำลังเหงาเศร้าก็อยากให้ลองอ่านดู ส่วนคนมีชีวิตดีไม่ค่อยจมดิ่ง การอ่านเล่มนี้เหมือนฟังเพื่อนเล่าเพลินๆ
ถึงบางเรื่องที่จริงและชวนให้เรามองรอบตัวด้วยสายตาละเอียดกว่าเดิม

เพราะพรุ่งนี้เราก็ยังต้องใช้ชีวิตที่สัมพันธ์กับมนุษย์มากมายต่อไป

ความยากง่ายในการอ่าน: อย่ากลัวความหนา
รับรองอ่านได้เพลินๆ แต่มีบางส่วนที่ยากอยู่บ้างเพราะพูดถึงปรัชญาในชีวิตแบบซับซ้อนพอประมาณ

AUTHOR