“ถ้าไม่มีดนตรี ฉันคงพังไปแล้ว” คุยกับ beabadoobee เรื่องความเศร้าของวัยรุ่นและการเป็นคนนอก

Highlights

  • beabadoobee หรือ Bea Kristi คือศิลปินวัย 20 ปีที่เขียนเพลงในห้องนอนตัวเองแล้วส่งตรงถึงใจของวัยรุ่นทั่วโลกที่กำลังเหงา เศร้า หรือเจ็บปวด
  • ความสามารถของเธอไปเข้าตา Dirty Hit ค่ายเพลงที่ดูแลศิลปินอย่าง The 1975
  • ปลายปีนี้เธอกำลังจะปล่อยอัลบั้มเต็มอัลบั้มแรกในชื่อ Fake It Flowers โดยตอนนี้แฟนๆ สามารถฟังซิงเกิลแรกอย่าง Care ได้แล้วในทุกสตรีมมิ่ง

beabadoobee เช้าวันศุกร์แสนอึมครึม ฉันตื่นนอนมาเจอกับกาแฟดริปฝีมือคนรัก แม้หัวจะยังมึนตึ้บ แต่หัวใจสดใสขึ้นในทันใด ชวนให้นึกถึงเพลงเพลงหนึ่งที่ร้องว่า

Don’t stay awake for too long

Don’t go to bed

I’ll make a cup of coffee for your head

I’ll get you up and going out of bed

And I promise that one day I’ll feel fine

And I promise that one day I’ll feel alright

พอดิบพอดีอะไรอย่างนี้ เพราะวันนี้ฉันมีนัด zoom call กับ beabadoobee เจ้าของเสียงร้องเบิกบานตัดกับเนื้อหาเจือความหม่นเศร้าในเพลง Coffee หรือหลายคนอาจเคยฟังจากเพลง death bed ที่ศิลปิน Powfu หยิบไปทำ sampling (การนำบางส่วนของเพลงหนึ่งไปใช้ใหม่ในอีกเพลง) จนฮอตฮิตไปทั่วโลก โดยเฉพาะในแพลตฟอร์มมาแรงอย่าง TikTok

beabadoobee หรือชื่อจริงว่า Bea Kristi คือนักร้องนักแต่งเพลงวัย 20 ปีจากกรุงลอนดอน Coffee เป็นเพลงแรกที่เธอแต่งด้วยกีตาร์ตอนอายุ 17 ปี ความตลกคือในเพลงนี้เธอสวมบทบาทเป็นคนชงกาแฟให้แฟน Soren Harrison ทั้งที่ทั้งคู่ไม่ดื่มกาแฟด้วยซ้ำไป

 

ดูโพสต์นี้บน Instagram

 

โพสต์ที่แชร์โดย beabadoobee (@radvxz) เมื่อ

บีเกิดและใช้ชีวิตในเกาะฟิลิปปินส์เพียง 3 ปี ก่อนที่พ่อแม่จะพาย้ายมาเกาะอังกฤษด้วยหวังให้เธอมีการศึกษาที่ดี แม้เธอจะพูดภาษาอังกฤษสำเนียงบริติชชัดแจ๋ว แต่ผมสีดำและผิวสีเหลืองยังคงเป็นชนวนเหตุให้เธอเจอเรื่องเดียวกับผู้อพยพอีกหลายคน นั่นคือการกีดกันให้เป็นเพียงคนนอกในที่ที่เธอเรียกว่าบ้าน

ช่วงมัธยมปลายบีเจอที่พักใจในกลุ่มเพื่อนที่เรียกได้ว่าเป็น ‘เด็กหลังห้อง’ วีรกรรมแสบๆ และการต่อกรกับกฎระเบียบทำให้เธอถูกไล่ออกจากโรงเรียน ทั้งที่เหลืออีกเพียงปีเดียวก็จะเรียนจบ

คล้ายฟ้าถล่มดินทลาย เป็นตอนนั้นเองที่เธอหัดเล่นกีตาร์ตามวิดีโอในยูทูบ ฝึกเล่นเพลงของศิลปินที่ชอบอยู่สักพัก แล้วไปๆ มาๆ ก็จับคอร์ดที่หยิบยืมบางส่วนมาจาก Kiss Me แล้วครวญเมโลดี้จนเกิดเป็น Coffee เพลงแรกในชีวิตที่เธอเขียนขึ้นในปี 2017

 

ดูโพสต์นี้บน Instagram

 

โพสต์ที่แชร์โดย beabadoobee (@radvxz) เมื่อ

“ถ้าไม่มีดนตรี ฉันคงพังไปแล้ว ฉันเริ่มทำดนตรีก็เพราะสุขภาพจิตของตัวเองนี่แหละ” บีพูดกับฉันผ่านหน้าจอโน้ตบุ๊ก เธอไม่สบตาฉันตอนพูด ไม่แน่ใจว่าเป็นเพราะตอนนี้เธอไม่ได้ชอบ Coffee (หรือ ‘เพลงที่โง่ที่สุด’ ตามคำพูดของเธอ) มากเท่าเดิมแล้ว หรือเป็นเพราะเธอไม่อยากย้อนนึกถึงช่วงชีวิตที่มีภาวะซึมเศร้าเป็นเพื่อนสนิทในเวลา 10 โมงเช้าของวันศุกร์

ถัดจาก Coffee เพลงต่อๆ มาของบีก็พูดถึงประสบการณ์ร่วมของวัยรุ่นทั่วโลกเช่นกัน โดยเฉพาะประสบการณ์ที่เจ็บปวดและคนทั่วไปอาจไม่กล้าเปิดใจคุยกันเท่าไหร่นัก อย่างเพลง Bobby ในอีพีแรก Lice ที่เล่าถึงเด็กสาวผู้กรีดข้อมือตัวเองและใคร่ครวญถึงการบอกลาโลกใบนี้ หรือเพลง Spacing Out ในอีพีเดียวกันที่ชวนให้คนฟังลองมองให้ลึกลงไปในใจของคนที่ภายนอกดูเหมือนจะโอเค

 

ดูโพสต์นี้บน Instagram

 

โพสต์ที่แชร์โดย (@radvxz) เมื่อ

“ฉันไม่ใช่คนเดียวที่พูดถึงเรื่องพวกนี้ ยังมีศิลปินเจ๋งๆ อีกมากที่พูดเรื่องเดียวกัน” เธอออกตัวเมื่อฉันถามว่ารู้สึกเป็นหน้าที่ของตัวเองที่ต้องพูดแทนคนร่วมเจเนอเรชั่นหรือเปล่า “ดนตรีของฉันเชื่อมโยงกับคนเจเนอเรชั่นนี้เพียงเพราะฉันเป็นคนรุ่นเดียวกันเท่านั้นแหละ”

4 บทเพลงที่ทั้งจริงใจและดิบสมกับที่เป็น bedroom music ใน Lice ทำให้บีได้เซ็นสัญญากับ Dirty Hit ค่ายเพลงดังที่ดูแลศิลปินมากคุณภาพอย่าง The 1975, Wolf Alice, No Rome และอื่นๆ อีกมากมาย หลังจากเซ็นสัญญา เธอขยันปล่อยเพลงออกมาอีก 3 อีพีคือ Patched Up, Loveworm และ Space Cadet ภายในเวลาเพียง 2 ปี 

ล่าสุดเมื่อกลางเดือนกรกฎาคม บีเพิ่งปล่อย Care ซิงเกิลแรกจาก Fake It Flowers อัลบั้มเต็มอัลบั้มแรกที่เราจะได้ฟังกันในช่วงปลายปีนี้ ซึ่งเธอพูดถึงมันว่า “อัลบั้มนี้บอกเล่าทั้งชีวิตของฉัน” และ “ทุกเพลงอุทิศให้กับใครบางคน”

beabadoobee

แม้ยุคนี้คนเราจะเฉลิมฉลองความหลากหลายกันมากกว่าเดิม แต่การได้เห็นศิลปินเชื้อสายเอเชียอย่างเธอมีชื่อเสียงพุ่งทะยานสู่ระดับโลกในเวลาอันรวดเร็วเช่นนี้ก็ยังคงเป็นเรื่องแปลกใหม่ที่ทั้งน่าตื่นเต้นและน่ายินดี 

“ฉันเติบโตมาโดยไม่มีนักดนตรีที่หน้าตาเหมือนฉันให้ยึดเป็นแบบอย่างเลย จึงเป็นเรื่องดีที่ฉันสามารถเป็นคนคนนั้นให้กับเด็กๆ ที่หน้าตาเหมือนฉัน เป็นคนคนนั้นที่ตัวฉันในวัย 15 ปีอยากมี ฉันรู้สึกว่ามันทรงพลังมากๆ เลยล่ะ”

บีเล่าถึงเด็กสาวเชื้อสายเอเชียที่มาหาเธอหลังจบโชว์เพื่อกล่าวขอบคุณ “มันอบอุ่นใจมากๆ ที่พวกเธอทำอย่างนั้น และฉันก็หวังว่าตัวเองจะสามารถสร้างแรงบันดาลใจให้คนอื่นๆ ต่อไปได้อีกไม่ว่าจะในทางใดก็ตาม” 

บทสนทนาความยาว 15 นาทีของเราจบลงตรงนั้น บีดูเหนื่อยอ่อนจนฉันอยากจะชงกาแฟให้สักแก้ว (เดาว่าเธอคงคุยกับสื่อมาแล้วทั่วโลกก่อนจะถึงคิวฉัน) แต่ก่อนจากกันเธอก็ฝากขอบคุณแฟนๆ ชาวไทยทุกคนที่สนับสนุนเธอมาโดยตลอด และเมื่อสถานการณ์ดีขึ้น เธอสัญญาว่าจะรีบมาร้องเพลงให้พวกเราฟังถึงที่อย่างแน่นอน

ระหว่างนี้ ขอให้ทุกคนร่วมกดปุ่ม care ให้เธอ ผ่านการฟังเพลง Care ไปพลางๆ ก็แล้วกัน


อ้างอิง

dazeddigital.com

dazeddigital.com

i-d.vice.com

AUTHOR