สปากลางหุบเขา เดินป่าหิมะ เอนจอยศิลปะ ในที่พักหลากหลายแนวทั่วโลก

สปากลางหุบเขา เดินป่าหิมะ เอนจอยศิลปะ ในที่พักหลากหลายแนวทั่วโลก

เบื่อบ้านแล้วอยากย้ายที่นอนไปพักผ่อนกลางหุบเขาหรือทะเลสาบบ้าง โควิด-19 หมดเมื่อไหร่จะจองที่พักปังๆ ทั่วโลกไปนอนกลิ้งและถ่ายรูปให้หนำใจ สมกับที่ไม่ได้ไปไหนมานาน

เพราะการได้อยู่ในที่พักดีๆ ตกแต่งสวยๆ ก็ถือเป็นส่วนหนึ่งของการท่องเที่ยวเช่นกัน นอกจากหมุดหมายปลายทางที่ทำให้เราอยากเดินทางข้ามน้ำข้ามทะเลไปเยือนแล้ว หลายคนอาจคิดถึงที่พักทั้งที่ตั้งใจจองไปหรือเข้าพักโดยบังเอิญไม่ต่างจากสถานที่ท่องเที่ยวอื่นๆ ‘เราเที่ยวด้วยกัน เฟสทิพย์’ EP นี้เลยขอมาแชร์ที่พักที่คนหลากหลายแวดวงประทับใจจนอยากกลับไปเยือนอีกสักครั้ง

The Retreat Hotel
Blue Lagoon, Iceland

จูนจูน–พัชชา พูนพิริยะ, นักแสดงและผู้ก่อตั้ง Mutual Bar และ FICS

ตอนกำลังวางแผนไปเที่ยวไอซ์แลนด์ที่สามีเคยไปมาแล้ว เขาแนะนำว่ามี Blue Lagoon ที่คนไปกันเยอะๆ และต้องไปให้ได้ถ้าไปไอซ์แลนด์ ซึ่งข้างในมีที่พักด้วย เราเลยเข้าไปดูในเว็บไซต์เขาก็เจอว่ามีโรงแรมจริงๆ แบ่งเป็น Silica Hotel กับ Retreat Hotel

ถ้าแบบ Silica ห้องจะเล็กกว่าหน่อย มีวิวสวยๆ เหมือนกัน แต่ถ้าเป็นแบบ Retreat จะได้ห้องใหญ่และหน้าห้องมี Blue Lagoon ส่วนตัวเลย (แต่เหมือนจะลงไม่ได้ ต้องไปลงอีกจุดหนึ่ง แต่ส่วนตัวกว่าของ public) ตอนนั้นทำใจยากมากเพราะราคาแบบ Retreat มันสูงมาก แต่ยิ่งดูรูปยิ่งรู้สึกว่าต้องไป นั่งเถียงกับสามีอยู่นาน สุดท้ายจบที่แพลนว่าไปนอนหนึ่งคืนก่อนกลับ โดยคืนอื่นเราก็นอนกันบนรถหรือที่พักราคาประหยัดแทน

เราคาดหวังกับที่นี่สูงเพราะทั้งทริปมันเหนื่อยมาก เหมือนเป็นทริปเที่ยวไม่ใช่ทริปพักผ่อน พอมาถึง The Retreat Hotel ทางเข้าจะแยกจากส่วนอื่น มี welcome drink เหมือนโรงแรมทั่วไป จำได้ว่าเช็กอินเร็วกว่าเวลาที่บอกแต่ไปถึงก็ได้เข้าห้อง และมีแชมเปญกับช็อกโกแลตเตรียมไว้ให้ด้วย (เป็นเทคนิคเวลาจองโรงแรมดีๆ ที่ต่างประเทศ เราจะเขียนโน้ตเสมอว่ามาฮันนีมูน แล้วจะได้อะไรแบบนี้ต้อนรับทุกครั้ง)

ตอนเข้าห้องไปคือฟินมาก รู้สึกคุ้มค่า ทุกอย่างสวยไปหมด จริงๆ แค่วิวจากเตียงมองเห็น Blue Lagoon ก็ถือว่าคุ้มแล้วเพราะภาพมันเหมือนฝัน ของใช้ในห้องก็ดีหมดเลย เขาจะให้ชุดคลุมอาบน้ำและกำไลข้อมือเวลาไปใช้บริการที่สปาหรือจะลง Blue Lagoon รวมถึงใช้เข้าถึงจุดต่างๆ ของ Retreat และใช้งานล็อกเกอร์ เหมือนเป็นยูนิฟอร์มของเราตอนอยู่ในโรงแรม ทุกคนใส่แค่ชุดคลุมอาบน้ำแบบนี้เดินไปเดินมาในล็อบบี้ ได้บรรยากาศที่ชิลล์มาก

ราคาห้องนอกจากจะรวมอาหารเช้าแล้วยังรวมสปาให้ด้วย และมีพวกกิจกรรมที่ไปจอยได้ เรามีเวลาแค่วันกว่าๆ เลยพยายามใช้ทุก facility ให้คุ้ม ไปยิม สปา ห้องสมุด เก็บประสบการณ์ให้ได้มากที่สุด ในโซนสปาเขาจะพาทำทีละจุดคล้ายๆ กับเข้าฐาน ทาครีม สครับ ล้างตัว แล้วคนน้อยมากเหมือนทั้งโรงแรมเป็นของเรา โดยแต่ละห้องจะมีธีมต่างกันไป มีห้องที่สงบมาก ไลต์ติ้งเหมือนให้เข้าไปนั่งสมาธิ ห้องซาวน่าที่แยกออกไปข้างนอก ต้องผ่านจุดที่หนาวมากๆ ก่อนถึงจะเข้าห้องนั้นได้ และแน่นอนว่ามีโซน Blue Lagoon ที่เข้าได้เฉพาะแขกของที่พักซึ่งตอนเราไปไม่มีคนเลย ทุกคนต้องฝากโทรศัพท์ไว้ในล็อกเกอร์ก่อนเข้าโซนนี้ พนักงานโรงแรมจะบริการถ่ายรูปให้แล้วส่งให้ในอีเมลอีกที เหมือนบังคับให้เราอยู่กับบรรยากาศตรงหน้า ได้ผ่อนคลายจริงๆ ซึ่งมันเวิร์กมากเพราะไม่มีใครหยิบโทรศัพท์มาเช็กอีเมลหรือหามุมถ่ายรูปเลย ทุกคน enjoy the moment จริงๆ

Recommend : ใน Retreat จะมีร้านอาหารชื่อ Moss Restaurant ที่เคยอยู่ใน Michelin Guide ด้วย อร่อยมาก ต้องลอง ร้านที่ไอซ์แลนด์จะชอบเอาชะเอมเทศมาทำซึ่งร้านนี้ทำอร่อยมาก แซลมอนก็ดี และในโซนสปาของ Retreat จะมีห้องหนึ่งเป็นห้องมืดๆ ที่มีเตาผิงใหญ่อยู่กลางห้อง รอบๆ มีแค่โซฟาเบดล้อม พอเข้าไปแล้วเหมือนเวลาชีวิตจริงหยุดเดิน หลุดไปอยู่อีกโลก ควรค่าแก่การไปนั่งเฉยๆ ทบทวนชีวิต

How to get there : The Retreat Hotel อยู่ใกล้กับสนามบิน เดินทางโดยการขับรถประมาณ 15 นาที
goo.gl/maps/BfPg17HGn4yyuP7T8

Benesse House
Naoshima, Japan

ตุ๊กตา–พนิดา เอี่ยมศิรินพกุล, คุณแม่ บรรณาธิการสำนักพิมพ์ยาหยี นักเขียนเพจ เที่ยวรอบลูก และ Smileplease.mom

การเดินทางกว่า 15 ชั่วโมงจากกรุงเทพฯ ถึงเกาะนาโอชิมะเป็นการเดินทางที่ยาวนานไม่เบาสำหรับพวกเรากับชื่นใจในวัย 2 ขวบกว่าๆ พวกเราใช้ยานพาหนะในการเดินทางเกือบครบทุกรูปแบบ ตั้งแต่เครื่องบิน รถไฟ เรือ รถตู้ จนไปถึงโรงแรม Benesse House ที่ตั้งอยู่บนเกาะที่ได้ชื่อว่าเป็นดินแดนแห่งงานศิลปะ มีฟักทองสีแดงจุดดำก้อนใหญ่ที่เป็นผลงานศิลปะของ Yayoi Kusama รอต้อนรับเราอยู่ที่ท่าเรือ รวมถึงผลงานศิลปะขนาดน้อยใหญ่อีกหลายชิ้น

ความเหนื่อยล้าในการเดินทางทั้งหมดหายวับไปกับภาพท้องฟ้าและน้ำทะเล ฉากหลังของโรงแรมเป็นหนึ่งในผลงานออกแบบของ Tadao Ando สถาปนิกชาวญี่ปุ่น Benesse House ประกอบไปด้วยที่พัก พิพิธภัณฑ์ ร้านอาหาร และผลงานศิลปะระดับมาสเตอร์พีซ เป็นที่พักแบบโรงแรมเพียงแห่งเดียวบนเกาะที่บริหารงานโดย Benesse Holdings, Inc. กลุ่มบริษัทที่ดูแลและฟื้นฟูสภาพเกาะนี้ทั้งเกาะนั่นเอง

ที่พักที่นี่แบ่งเป็น 2 ส่วน คือ park และ beach โดยแบ่งประเภทของห้องจากวิวที่มองเห็น นั่นคือวิวสวนและวิวทะเล สวยงามกันคนละแบบ วิวทะเลให้ความรู้สึกเงียบสงบ ส่วนวิวสวนให้ความรู้สึกปลอดโปร่ง  พวกเราพักกันที่ห้องวิวสวน มองจากระเบียงห้องลงไปเป็นส่วนที่มีประติมากรรมเหมือนสนามเด็กเล่นพอดี เหมาะกับเด็กๆ เพราะได้วิ่งเล่นอย่างอิสระ ปลอดโปร่งไร้กฏเกณฑ์ ไม่ต่างจากงานศิลปะแต่ละชิ้นที่ตั้งอยู่ที่โรงแรมแห่งนี้

Recommend : นาโอชิมะเป็นเกาะในจังหวัดคางาวะที่พัฒนาโดย Tetsuhiko Fukutake ผู้ซื้อที่ดินบนเกาะมาทำพิพิธภัณฑ์และทำงานร่วมกับศิลปินต่างๆ มากมาย โดยเฉพาะทาดาโอะ อันโดะ สถาปนิกผู้สร้างสรรค์ผลงานออกแบบในหลายภาคส่วนบนเกาะแห่งนี้ ที่นี่จึงกลายเป็นเกาะที่ทำให้คนรักศิลปะหลงใหลและพาตัวเองข้ามน้ำข้ามทะเลเพื่อมาดูงานต่างๆ ทุกปี

How to get there : นั่งเรือจาก Uno ไปที่ท่าเรือ Miyanoura บนเกาะนาโอชิมะ
goo.gl/maps/dxiD3LYCymFVhwnC8

Ferienwohnung am Brocken
Lower Saxony and Saxony-Anhalt, Germany

Pavii, นักวาดภาพประกอบ อินสตาแกรม pavinee.illustration

เวลาไปเที่ยวในวันหยุดยาวเราชอบพักในบ้านพักมากกว่าโรงแรม นอกจากความเป็นส่วนตัวที่มากกว่าแล้วยังเป็นเพราะมีห้องครัวด้วย การทำอาหารเองนอกจากจะประหยัดค่าใช้จ่ายยังเป็นโอกาสให้คนชอบเข้าครัวอย่างเราได้ลองของประจำท้องถิ่นนั้นๆ ด้วย วิธีการเลือกบ้านของเราคือเมื่อเจอที่ที่น่าสนใจเราจะใช้ Google Earth ดูพื้นที่รอบๆ เพื่อหาบ้านที่บรรยากาศถูกใจที่สุด

ช่วงที่เราไปเที่ยวเยอรมนีเป็นช่วงฤดูหนาวพอดี สิ่งสำคัญอันดับแรกในการเลือกที่พักฤดูหนาวสำหรับเราคือสภาพอากาศ ต้องเช็กพยากรณ์อากาศว่าช่วงที่จะไปพื้นที่นั้นมีหิมะตกไหม เพราะกิจกรรมหลักที่เราชอบทำคือการเดินป่าหิมะ คงจะรู้สึกเศร้าถ้าไปแล้วเจอแต่ความหนาวเหน็บในทัศนียภาพป่าไม้ไร้ใบแต้มสีเทา-น้ำตาลแทนสีขาวโพลน

Ferienwohnung am Brocken คือชื่อบ้านพักตากอากาศในหมู่บ้านเล็กๆ ติดกับป่าเทือกเขา Harz ตัวบ้าน 3 ชั้นมีห้องพักหลากหลาย เราตัดสินใจเลือกอพาร์ตเมนต์ใต้หลังคาขนาดกะทัดรัด มีครัว ห้องนอน ห้องน้ำ ห้องนั่งเล่น และวิวภูเขาหิมะทอดยาวสุดตา ภายในห้องตกแต่งอย่างเรียบง่ายภายใต้โครงเสาคานไม้สีอบอุ่น มีหน้าต่างหลังคาที่บางวันระบายด้วยสีฟ้าของฟ้า บางวันระบายด้วยสีขาวของหิมะ

นอกจากที่พักที่น่ารักแล้ว บริเวณรอบข้างก็เหมาะกับการเดินสำรวจมาก ถ้าใครสนใจอยากเดินป่าหิมะในฤดูหนาวต้องเตรียมตัวให้พร้อม เช่น เสื้อผ้าต้องอบอุ่นเพียงพอ กันน้ำ และปิดสนิทเพื่อกันหิมะเข้า ถ้าหากหิมะสูงจนเดินแล้วจมจะต้องพึ่งอุปกรณ์อย่างแผ่นรองเท้าสำหรับเดินบนหิมะ (snowshoes) ถ้าเป็นระยะทางไกลควรเตรียมเสบียงอย่างซุปร้อนที่ทั้งคลายหนาวและให้พลังงาน

สรรพสิ่งมากมายที่ต้องเตรียมสำหรับการเดินป่าหิมะอาจดูวุ่นวายสำหรับวันหยุดที่ควรจะเป็นเวลาพักผ่อน แต่ความสงบเงียบที่รายล้อมไปด้วยหิมะบริสุทธิ์ช่างคุ้มค่า และความรู้สึกของการได้ประทับรอยเท้าคู่แรกบนพื้นขาวนุ่มก็แสนวิเศษ เมื่อความมืดเข้าห่มคลุมแดนหิมะ สองขาที่เมื่อยล้าก็พาตัวเองออกจากป่า กลับไปหาบ้านพักหลังน้อยที่รอคอยด้วยแสงอบอุ่นเรืองรองและกลายเป็นหนึ่งในความทรงจำที่ดีที่สุด

Recommend : ที่บ้านพักมีสิ่งอำนวยความสะดวก เช่น ห้องซาวน่า เตาปิ้งย่าง และจักรยานให้หยิบยืมได้ทุกเมื่อ แต่ละห้องยังมีอุปกรณ์สำหรับครอบครัวที่มีเด็กเล็กอย่างเก้าอี้ทรงสูงหรือเปลด้วย ความใส่ใจยังบรรจุไว้ในแฟ้มต้อนรับที่เต็มไปด้วยข้อมูลพื้นที่และกิจกรรมแนะนำมากมาย ซึ่งเราตัดสินใจเลือกกิจกรรมผ่อนคลายหลังจากเดินทางไกลหลายชั่วโมงอย่างการชมวิวโดยรถจักรไอน้ำบนหนึ่งในทางรถไฟสายที่สวยที่สุดในเยอรมนี ‘Brocken Railway’

รถไฟโบราณจะเคลื่อนผ่านป่าหิมะไปยังจุดสูงสุดของเทือกเขา ภายในรถที่เรานั่งไม่มีใครอื่นเพราะวันนั้นมีหมอกลงบดบังทัศนียภาพ แต่ถ้าเลือกได้อีกเราก็จะยังเลือกขึ้นรถไฟในวันเดิมเพราะไม่มีอะไรเทียบได้กับความรู้สึกดั่งต้องมนต์สะกดจากเส้นทางสีขาวในม่านหมอก

How to get there : นั่งรถไฟไปลงที่สถานี Schierke แล้วขับรถต่อ
goo.gl/maps/h1csQU6DZhRC34eU9

Country house Khuzhir
Lake Baikal, Russia

Mind Da Hed, นักเขียน

เราเลือกที่นี่จาก Booking.com โง่ๆ เลย ด้วยความที่ที่พักอยู่ในเมืองฮูชีร์ (Khuzhir) เกาะโอลคอน (Olkhon Island) ทะเลสาบไบคาล ประเทศรัสเซีย อากาศหนาวอุณหภูมิ -20 ถึง -30 องศาฯ เราเลยไม่ได้คาดหวังอะไรกับที่พักมากไปกว่าความอุ่นนุ่ม ปลอดภัยจากหิมะ ฮีตเตอร์กับเครื่องทำน้ำอุ่นที่ใช้งานได้ และเตียงผ้าขนที่จะช่วยเราไว้จากภัยหนาว

ที่นี่มีเครื่องอำนวยความสะดวกครบถ้วนแต่ไม่ได้หวือหวา มีลักษณะเหมือนบ้าน มีเก้าอี้ให้เขียนบันทึก มีโต๊ะเล็กๆ ให้กินอาหารรองท้องตอนเช้าและดื่มกาแฟ พื้นที่ในห้องกว้างขวางดี มีเตียงให้คนละเตียง ตอนกลางคืนเราก็มาสุมหัวกินขนมที่ซื้อมาจากซูเปอร์มาร์เก็ต กินเบียร์ที่เอาไปแช่ในหิมะ (จนแทบจะกลายเป็นเบียร์วุ้น) เมื่อครึ่งชั่วโมงก่อนหน้า ความว้าวหลักๆ ของที่นี่จึงเป็นความเรียบง่าย บ้านที่อุ่นและเงียบมากพอ รวมถึงมีห้องน้ำในตัว

เรื่องโลเคชั่นของที่พักไม่ได้หวือหวาอะไร เพราะเวลาเข้าไปเที่ยวในเกาะจะมีรถรับ-ส่งถึงที่อยู่แล้ว แต่ที่นี่จะห่างจากซูเปอร์มาร์เก็ตหรือร้านอาหารราว 1 กิโลเมตร ถ้าคนไม่ชอบเดินสำรวจอาจจะไม่ชอบเพราะตอนกลางคืนเงียบมากและบางจุดก็เปลี่ยว แต่เราชอบ ข้อดีของมันคือเราสามารถเดินชิลล์ๆ ไปกินมิลก์เชกที่อร่อยมากในร้านอาหารที่ตกแต่งด้วยสีน้ำตาลเรียบๆ และม่านขาวคล้ายร้านอาหารในมังงะในยามวิกาล บรรยากาศมืดกึ่งทึบ มีไฟกับเงาคนจากบ้านที่ตั้งเรียงราย กลิ่นน้ำมันอบอวล และหิมะกับความหนาวที่มองไม่เห็น ให้ความรู้สึกว่าการกลับที่พักเหมือนกลับบ้านดี

ที่นี่เป็นบ้านสภาพนางฟ้าสร้างจากไม้ทั้งหลัง คาดว่าหลายครัวเรือนผันตัวเองมาทำธุรกิจที่พักเมื่อการท่องเที่ยวที่เกาะโอลคอนเริ่มได้รับความนิยมมากขึ้น แต่เดิมฮูชีร์เป็นเมืองอุตสาหกรรมประมง ถ้าไม่ใช่ฤดูหนาวชาวบ้านก็ออกไปตกปลากัน

ส่วนเจ้าของที่พักก็แนะนำแต่สิ่งที่จำเป็น ไม่ได้มาวอแวกับแขกมาก จะมีรายละเอียดที่สำคัญในการเดินทางเช่ารถเข้าไปในเกาะโอลคอน หรือการขึ้นรถไป-กลับในเมืองเอียร์คุตสก์ (Irkutsk) เพราะมาถึงที่นี่แล้วจะเหมือนโดนปล่อยเกาะพอสมควรถ้าไม่ได้จองรถกลับไว้ก่อน อีกทั้งยังไม่มีศูนย์กลางติดต่อรถที่จะกลับไปได้อย่างสะดวก

Recommend : ที่พักอยู่ในพื้นที่ที่ยังไม่ใช่สถานที่ท่องเที่ยวหลัก นั่นคือเกาะโอลคอนที่แวดล้อมไปด้วยสีขาวของหิมะ ความหนาวราว -30 องศาฯ แสงอุ่น และน้ำแข็งที่จับตัวกันเป็นแม่น้ำและถ้ำ ที่พักเลยจะเป็นกึ่งๆ ที่ซุกหัวนอน คือไม่ใช่ที่เที่ยวในตัวของมันเองแต่ต้องเป็นที่ที่อบอุ่น มีเตียงและน้ำร้อนที่ดีบริการ เพราะเราจะออกไปตะลุยหิมะทั้งวัน นั่งรถไปตามจุดต่างๆ ในจังหวะท้ายๆ ของวันถ้ารองเท้าไม่ได้ดีมาก ถุงมือไม่เฉียบพอ มือและเท้าของเราจะเย็นเฉียบแทน ดังนั้นเวลาเข้าที่พักที่อบอุ่น กว้างขวาง มีที่ให้ทิ้งตัว จะเป็นการช่วยเหลือเราอย่างมาก ซึ่งที่นี่ก็ทำได้ดี

การซื้อแพ็กเกจทัวร์รอบเกาะเป็นกิจกรรมหลักของที่นี่ แนะนำให้เช่ารถแบบส่วนตัวจะดีที่สุด (ราคาต่างกันไม่เท่าไหร่) เพราะสามารถจอดถ่ายรูปเล่นได้ระหว่างทาง และถ้ามีมัคคุเทศก์ดีเขาจะรู้จังหวะพาเราไปในที่ที่แตกต่างบ้างและหลีกเลี่ยงช่วงเวลาที่คนเยอะๆ ให้

อยากบอกว่าเกาะโอลคอนสวยมาก ขาวโพลน สงบ และอุ่นเหลือเชื่อในตอนกลางวัน เราสามารถไปนั่งโง่บนโขดหินและมองทะเลสาบน้ำแข็งสะท้อนพระอาทิตย์ได้นานเท่าที่อยากมอง กินปลาโอมุร้อนๆ แบบไม่ต้องเร่งรีบ แต่ถ้าเช่ารถทัวร์ที่ต้องนั่งรวมกับคนอื่น อารมณ์จะเหมือนชะโงกทัวร์เพราะเวลากำกับค่อนข้างชัดเจน แล้วถ้ายิ่งมีกลุ่มคนวี้ดว้ายไปด้วย บอกได้เลยว่าจะกลบความดีงามสุดคูลของเกาะโอลคอนจนหมดสิ้น

How to get there : จองรถจากเมืองเอียร์คุตสก์ไปที่ฮูชีร์ โดยสามารถไปจองที่สถานีได้เลยหรือจองในอินเทอร์เน็ตมาก่อนก็ได้ซึ่งเราทำแบบนั้น สะดวกและรวดเร็วไม่ต้องพะวงว่ารถจะเต็มไหม ระหว่างทางจะมีการจอดให้กินมื้อกลางวัน และการ transfer มากมายจากรถตู้เบอร์ 1 สู่รถตู้เบอร์ 2 สู่เรือ สู่รถตู้เบอร์ 3 ใช้เวลาราวหนึ่งวันเต็มเหมือนกัน ในกรณีนี้เราจ่ายค่าเรือข้ามฟากน้ำแข็งเพิ่ม และเมื่อเราโดนโยนไปสู่รถตู้เบอร์ 3 คนขับจะจอดตามที่พักของทุกคนในพื้นที่เลย และจะมีเจ้าของที่พักออกมารอรับข้างหน้า
goo.gl/maps/x1y3oAcA4oinWmfv7

Hotel Helka
Helsinki, Finland

Little Thoughts, นักเขียนเจ้าของหนังสือ ‘The Other Cities: เมืองน่าอยู่ที่รู้สึก’ และคอลัมนิสต์คอลัมน์ CITIES 

เราเจอที่นี่ใน Booking.com ตามปกติ เห็นที่พักนี้ได้คะแนนค่อนข้างสูง และสะดุดกับข้อมูลว่าห้องพักตกแต่งด้วยเฟอร์นิเจอร์ของนักออกแบบในตำนานของฟินแลนด์อย่าง Alvar Aalto บวกกับทำเลทองใจกลางเมืองและราคาที่ถือว่าเป็นมิตรเมื่อเทียบกับค่าครองชีพ เลยกดจองไปแบบไม่คิดอะไรมากนอกจากเหมือนได้เข้าใกล้อัลโตอีกนิดเป็นโบนัส ก็อุตส่าห์ไปถึงเฮลซิงกิทั้งทีนี่นะ

เราแทบไม่คาดหวังอะไรกับที่นี่เลยนอกจากทำเลที่รู้ว่าจะทำให้ชีวิตสะดวก แต่พอเข้าไปแล้วกลายเป็นว่าที่พักแห่งนี้เต็มเติมประสบการณ์ในทริปนั้นด้วยปรัชญาการออกแบบ embedded design ของฟินแลนด์ที่ฝังการออกแบบไว้ในชีวิตประจำวัน นั่นคือมองมุมไหนก็สวย ใช้พื้นที่ใดก็สบาย เคลื่อนไหวยังไงก็ไม่สะดุด และเปิดมุมมองใหม่ว่า hospitality ที่ดีไม่จำเป็นต้องส่งผ่านกันทางมนุษย์เท่านั้น

เราชอบความอยู่สบายแบบฟินแลนด์ คือไม่จำเป็นต้องหรูแต่มันสบายมากๆ โดยเฉพาะที่นอน ส่วนเฟอร์นิเจอร์ของแบรนด์ดังที่นำมาตกแต่งก็ไม่ใช่ชิ้นหรู แต่เป็นงานออกแบบไอคอนิกมหาชนที่อยู่ในบ้านของคนทั่วไป อย่างเก้าอี้ Artek ของอัลโต หรือแก้วกาแฟ Marimekko ส่วนเอเลเมนต์ที่เห็นแล้วงงๆ แต่ก็ชอบเป็นพิเศษคือผลิตภัณฑ์อาบน้ำแบรนด์ THANN ที่เข้าไปเจอในห้องน้ำ ไม่รู้ว่ามันเป็นทูตวัฒนธรรมที่ทำให้คนไทยอย่างเรารู้สึกเชื่อมโยงกับฟินแลนด์มากขึ้นหรือเปล่า

Recommend : แนะนำว่าให้เพลิดเพลินกับ embedded design แบบฟินแลนด์นั่นแหละ มันอยู่ในทุกหนทุกแห่งทุกที่ทุกมุมจริงๆ เผื่อเวลาทานอาหารเช้านานๆ หน่อยก็ดีเพราะจำได้ว่าแฮปปี้มาก (เข้าใจว่าเป็นอาหารเช้าออร์แกนิก) ที่พักนี้อยู่ในย่าน Kamppi (Kampen) ซึ่งถือว่าเป็นย่านกลางเมือง จากที่พักจึงมีสถานที่หลายแห่งอยู่ในระยะเดินถึง ไม่ว่าจะเป็น Kamppi Center หรือห้องสมุดกลาง Library Oodi ที่เป็นจุดหมายปลายทางหลักของทริปนี้ (อ่านเรื่องราวของ Oodi ได้ที่ adaymagazine.com/library-oodi-helsinki)

เดินต่อจากห้องสมุดกลางไปอีกหน่อยก็จะเจอสถาปัตยกรรมชิ้นสำคัญที่ออกแบบโดยอัลโต นั่นคือ Finlandia Hall หอประชุมที่ใช้จัดกิจกรรมและคอนเสิร์ต ใครที่ชอบสถาปัตยกรรมยุคโมเดิร์นแนะนำว่าให้หาโอกาสสำรวจอาคารแห่งนี้ทั้งจากระยะไกลและใกล้ แนะนำจากใจให้เดินวนจนครบรอบเพื่อสัมผัสความงามที่แตกต่างกันไปในแต่ละมุม

How to get there : Hotel Helka อยู่ในระยะเดินถึงจากสถานีรถไฟ Central Station ที่คนส่วนใหญ่น่าจะนั่งมาจากสนามบิน แต่ถ้าระยะทางราวหนึ่งกิโลเมตรไกลเกินจะลากกระเป๋าก็สามารถต่อเมโทร M1 หรือ M2 มาลงที่สถานี Kamppi (Kampen) ได้เหมือนกัน นอกจากเมโทรแล้วยังสามารถไปไหนมาไหนได้ด้วยรถประจำทางได้อย่างสะดวก
goo.gl/maps/jPEvDv9mfad2xCxL8

Fletcher Hotel
Ouddorp, Netherlands

ศานนท์ หวังสร้างบุญ, ผู้ก่อตั้งโฮสเทล Once Again Hostel

ก่อนจะเดินทางมาถึงเมืองนี้ วันนั้นเป็นวันปั่นจักรยานทริปยาวที่สุดจากเมือง Rotterdam มุ่งหน้าสู่ Middleburg ผมกับพี่ที่ไปด้วยกันปั่นจักรยานมากว่า 60 กิโลเมตรและจุดหมายที่พักของพวกเรายังห่างออกไปอีกราว 50 กิโลเมตร แต่เวลาเจ้ากรรม พระอาทิตย์กำลังจะลับขอบฟ้าลาเราไปแล้ว ท่ามกลางความรู้สึกหมดแรงและสิ้นหวังเพราะคิดว่าคงไปไม่ถึงที่พักที่จองไว้แน่นอน สุดท้ายเราก็ค้นพบผู้หญิงผมบลอนด์วัยกลางคนท่าทางใจดีคนหนึ่งกำลังปั่นจักรยานกลับบ้าน เธอแนะนำให้เรารีบปั่นไปที่เมือง Ouddorp ที่อยู่ห่างประมาณ 10 กิโลเมตรเพราะมีโรงแรมให้ที่พักเราได้ สุดท้ายเราก็พักกันที่โรงแรม Fletcher Hotel ที่นี่จึงเป็นโรงแรมในความทรงจำ เพราะทำให้พวกเรารอดพ้นการนอนข้างถนน และการแวะพักที่นั่นก็ทำให้ได้เจอเมืองแสนประทับใจตามมา

พอตื่นเช้าขึ้นมาถึงแม้ทางที่จะไปต่อจะอยู่อีกทิศหนึ่ง แต่ผมกับพี่เห็นตรงกันว่าเราควรแวะกลับไปทางเดิมอีกรอบ หากเจอผู้หญิงคนนั้นก็จะได้ขอบคุณ แต่ถ้าไม่เจอก็ถือโอกาสแวะเที่ยว และเมื่อไปถึงก็ค้นพบว่านี่คือเมืองที่ผมชื่นชอบที่สุดตลอดการเดินทางปั่นจักรยานรอบเนเธอร์แลนด์ทริปนี้ไปเลย

ที่นี่คือเมือง Goedereede เอาตามตรงผมยังไม่มั่นใจว่าอ่านออกเสียงยังไงเลยด้วยซ้ำ แต่เมืองนี้กลับเล็กและเข้าใจง่ายสวนทางกับชื่อมาก ภาพจำของผมมันเหมือนหลุดออกมาจากนิยายโบราณที่มีจัตุรัสอยู่ใจกลางเมือง มีคูคลองล้อมรอบเล็กๆ และมีตึกสถาปัตยกรรมแบบยุโรปสไตล์เนเธอร์แลนด์ที่เป็นเอกลักษณ์ หากปั่นจักรยานก็จะเพลินไปกับทุกตรอกซอกซอยของเมืองแน่นอน ผู้คนไม่พลุกพล่าน ทุกคนใช้จักรยาน และคนในเมืองนี้ก็ดูเหมือนจะรู้จักกันไปหมดทั้งเมืองเลยด้วย

Recommend : อยากแนะนำให้แวะร้านกาแฟร้านหนึ่งที่อยู่ไม่ไกลจากจัตุรัสกลางเมือง ยากนิดหนึ่งตรงที่ร้านกาแฟนี้ไม่มีชื่อร้าน ผมจดเอาไว้ว่าตั้งอยู่ที่บ้านเลขที่ 10 บนถนน Kerkstraat ถ้าไปด้วยจักรยานก็น่าจะหาได้ไม่ยาก ร้านเล็กมากแต่คนเข้า-ออกตลอดทั้งวัน ข้างในเป็นเหมือนบ้านคน มีกาแฟรสชาติดีและขนมโฮมเมดให้เลือกมากมาย เชื่อเหลือเกินว่าจะเติมเต็มตอนเช้าของทุกคนได้ดีแน่นอน

How to get there : แน่นอนว่าต้องไปด้วยจักรยาน และด้วยความที่เป็นเมืองทางตอนใต้ของเนเธอร์แลนด์ (South Holland) ที่ตั้งอยู่ติดกับชายฝั่ง west coast อยู่ใกล้ชายแดนเบลเยียม การเดินทางสาธารณะจึงไม่มีให้เลือกมากนอกจากรถเมล์ แต่ด้วยความเป็นเนเธอร์แลนด์ที่ทุกที่เข้าถึงได้ด้วยจักรยาน คนส่วนใหญ่จึงใช้จักรยานกันทั้งนั้น คำแนะนำของผมคือเราสามารถปั่นจักรยานโดยเริ่มต้นจาก Rotterdam จะใช้เวลาประมาณ 8-10 ชั่วโมง ในวันที่ลมจากทะเลตะวันตกพัดอย่างรุนแรงมากๆ คุณจะเดินทางมาถึงเมืองนี้ได้พอดิบพอดีเหมือนกับพวกเราแน่นอน อ้อ แนะนำให้มองหาผู้หญิงผมบลอนด์วัยกลางคนไว้ด้วยนะ
g.page/Fletcher-Hotel-Duinzicht?share

AUTHOR