Van Gogh Museum ลมหายใจของแวน โกะห์ผ่านภาพวาดที่สร้างแรงบันดาลใจให้มีความหวังในวันข้างหน้า

หากพูดถึงภาพดอกทานตะวันผลิบานในแจกันที่แขวนอยู่ตรงหน้า

หนึ่งในภาพดอกทานตะวันดังที่หลายคนคุ้นตา เชื่อว่าต้องมีภาพดอกทานตะวันของ ‘วินเซนต์ แวน โกะห์’ (Vincent Van Gogh) ศิลปินในยุคอิมเพรสชันนิสต์ (Impressionist) ที่มีภาพวาดชื่อดังมากมาย เช่น ‘Sunflowers’ เซตภาพสีน้ำมันดอกทานตะวัน ที่เขาวาดในช่วงรักษาตัวในโรงพยาบาล หรือจะเป็น ‘Starry Night’ หรือภาษาไทยว่า ‘ราตรีประดับดาว’ ในค่ำคืนสีน้ำเงินเข้ม 

ศิลปะของแวน โกะห์ที่มีเอกลักษณ์ มีหรือที่ใครเห็นในพิพิธภัณฑ์หรือนิทรรศการต่างๆ เกี่ยวกับเขาต้องหยิบซื้อโปสต์การ์ดติดไม้ติดมือมาเป็นของที่ระลึกชวนคิดถึง

และเมื่อถึงวันที่ฉันหยิบรูปภาพของเขามาดูอีกครั้ง ก็ชวนนึกถึงเรื่องราวที่ผ่านมาเกี่ยวกับ แวน โกะห์ ที่พิพิธภัณฑ์แห่งนี้

ตามหาแรงบันดาลใจในภาพวาดของแวน โกะห์

ในประเทศที่โด่งดังในด้านการวาดภาพแบบ Still Life ซึ่งถ่ายทอดความเรียบง่ายของแต่ละโมเมนต์ด้วยความสมจริง ศิลปะของประเทศนี้มีความโดดเด่น มองแวบเดียวก็รู้ว่าเป็นภาพวาดของจิตรกรชาวดัตช์

ในเมืองที่เต็มไปด้วยที่ราบ ถนนเรียบ ความร่มรื่น และบรรยากาศที่เอื้อให้ผู้คนสัญจรไปมาด้วยจักรยาน อย่างอัมสเตอร์ดัม

ในย่านที่แวดล้อมไปด้วยพิพิธภัณฑ์สำคัญๆ อย่างพิพิธภัณฑ์ Van Gogh ตั้งตระหง่านเพื่อรอคอยการมาเยือนของผู้ที่รักในผลงานของศิลปินเอกแห่งเนเธอร์แลนด์ 

พิพิธภัณฑ์แวน โกะห์สร้างขึ้นเพื่ออุทิศให้กับผลงาน เอกลักษณ์และความเป็นตัวตนของศิลปินชาวดัตช์ที่ผู้คนทั่วโลกหลงใหลอย่าง ‘Vincent Van Gogh (วินเซนต์ แวน โกะห์)’ 

พิพิธภัณฑ์แห่งนี้เปิดอย่างเป็นทางการในปี 1973 ซึ่งเป็นเวลา 83 ปีหลังจากที่แวน โกะห์ อำลาจากโลกไป และในปี 2015 ได้รับการบูรณะตามแนวคิดสถาปัตยกรรมสมัยใหม่ เพื่อรองรับจำนวนผู้มาเยือนที่เพิ่มมากขึ้นในแต่ละปี 

มูลนิธิ Van Gogh ผู้ดูแลพิพิธภัณฑ์แห่งนี้ ได้รวบรวมและเก็บรักษาภาพวาดผลงานของแวน โกะห์ไว้อย่างสมบูรณ์และครบถ้วนที่สุด นับรวมแล้วมีจำนวนหลายร้อยภาพ จากตลอดช่วงชีวิตของแวน โกะห์ ตั้งแต่ยุคเริ่มต้นที่ใช้ดินสอชาร์โคลสีดำเป็นอุปกรณ์หลักในการวาดรูป ขณะที่เริ่มก้าวเข้าสู่เส้นทางการเป็นศิลปิน ช่วงเวลาที่ชีวิตมีความสดสวย ในยามที่เจ็บป่วย รวมถึงช่วงระยะสุดท้ายของชีวิต

รับรองว่าเป็นจุดหมายปลายทางที่คนรักงานศิลปะต้องใจเต้นแรงสุดๆ 

ภาพวาดของแวน โกะห์ที่จัดแสดงในพิพิธภัณฑ์

หากต้องการจะเสพงานศิลปะของแวน โกะห์ให้เข้าใจอย่างถ่องแท้ จำเป็นต้องศึกษาและอ่านดูประวัติชีวิตของเขาด้วย เพราะภาพวาดแต่ละชิ้นของแวน โกะห์ล้วนแล้วแต่สะท้อนให้เห็นถึงเรื่องราวที่เกิดขึ้นกับเขาในช่วงเวลานั้น ไม่ว่าจะเป็นผู้คนที่พบเจอ สถานที่ซึ่งลงหลักปักฐาน ธรรมชาติ บรรยากาศและความรู้สึกที่ก่อตัวขึ้นมาในจิตใจ

หลายคนมองว่าแวน โกะห์เป็นคนน่าสงสาร ด้วยความที่ต้องพบเจอความผิดหวังมากมายหลายครั้ง ตลอดเวลา 37 ปีที่มีลมหายใจ แต่ถ้ามองอีกมุมหนึ่ง การที่ชีวิตของแวน โกะห์เต็มไปด้วยเรื่องราวทั้งดีและร้าย ทำให้เขามีความรู้สึกที่เต็มล้นกับสิ่งต่างๆ 

เวลาที่จิตใจเต็มไปด้วยความสุข แวน โกะห์ไม่ลังเลที่จะแสดงออกผ่านภาพวาด 

เวลาที่มีแต่ความทุกข์ทน แวน โกะห์ก็ไม่รีรอที่จะแต้มฝีแปรงลงไปบนผืนผ้าใบ เพื่อสะท้อนความขุ่นมัวจนเป็นภายในจิตใจ  

‘ศิลปะ’ จึงเป็นเครื่องมือในการแสดงออกให้กับแวน โกะห์ในทุกๆ เวลา

อย่างรูปภาพดอกทานตะวันหรือที่มีชื่อว่า ‘Sunflowers’ นั้น แวน โกะห์วาดเอาไว้มากมายหลายแบบ แต่ละภาพและแต่ละแบบมีทั้งความเหมือนและแตกต่างกันในเรื่องที่มา องค์ประกอบ มุมมอง ความรู้สึก และโทนสีที่ใช้

สำหรับแวน โกะห์แล้ว ‘ดอกทานตะวัน’ เป็นตัวแทนความรู้สึก ‘ขอบคุณ’ อย่างในตอนที่ได้รับมิตรภาพจาก ‘Paul Gauguin (พอล โกแกง)’  จิตรกรผู้เป็นเพื่อนคนสำคัญของแวน โกะห์ สำหรับเขาแล้ว โกแกงเป็นศิลปินที่ได้รับการยกย่องจากแวดวงศิลปะ แล้วยังเป็นทั้งแรงบันดาลใจและเพื่อนร่วมเส้นทางการเป็นศิลปิน ภาพดอกทานตะวันที่แวน โกะห์วาดให้กับโกแกง จึงเป็นภาพดอกทานตะวันที่สว่างไสวและสวยงาม เหมือนกับจิตใจของแวน โกะห์ที่เต็มไปด้วยความขอบคุณอย่างท่วมท้น ซึ่ง ‘สีเหลือง’ ของดอกทานตะวันยังเหมือนกับสีของ ‘บ้าน’ ที่แวน โกะห์กับโกแกงใช้เวลาวาดภาพและมุ่งมั่นที่จะสร้างคอมมิวนิตีศิลปะด้วยกันในช่วงเวลาหนึ่ง

หากพิจารณาจากฝีแปรงแล้ว แวน โกะห์วาดภาพดอกทานตะวันด้วยความนุ่มนวล แต่กล้าหาญ แน่วแน่และชัดเจน โทนสีเหลืองที่เข้มจางลดหลั่นกันอย่างมีชั้นเชิง สะท้อนถึงความหวังในชีวิตของแวน โกะห์ช่วงเวลานั้น

ภาพวาดดอกทานตะวัน ถูกถ่ายทอดออกมาด้วยความทรงพลังเหมือนกับความรู้สึกในใจของแวน โกะห์ ขนาดที่โกแกงยังกล่าวว่า ‘ภาพดอกทานตะวัน’ มีความเป็นแวน โกะห์อย่างแท้จริง! และเพื่อเป็นการตอบแทนน้ำใจไมตรีที่ได้รับ โกแกงก็วาดภาพแวน โกะห์ในขณะกำลังเพนต์รูปดอกทานตะวันด้วย

ในเวลาที่สภาพจิตใจบอบช้ำ ภาพวาดก็ยังเป็นสิ่งที่สะท้อนความในใจของแวน โกะห์ได้ชัดเจนที่สุด ความรู้สึกผิดหวังในทุกด้านของชีวิต ความริบหรี่ของอนาคต รวมถึงความโดดเดี่ยวที่มาพร้อมกับอาการเจ็บป่วย ทั้งหมดถูกถ่ายทอดออกมาผ่านวิธีการแต้มพู่กันลงบนผ้าใบและโทนสีที่เป็นลักษณะเฉพาะของแวน โกะห์ 

แวน โกะห์รู้สึกว่าตนเองล้มเหลว แม้ว่าเขาจะสามารถสร้างสรรค์งานศิลปะได้ในแบบที่ไม่เคยมีมาก่อน แต่การยอมรับซึ่งสิ่งใหม่เป็นเรื่องที่ต้องใช้เวลา แสงสว่างในจิตใจของแวน โกะห์จึงริบหรี่ลงเรื่อยๆ

สีน้ำเงินเข้มอ่อน หลากน้ำหนักสีในภาพวาด ‘Doctor Gachet (ด็อกเตอร์แกเชต์)’ หมอผู้ดูแลอาการป่วยของแวน โกะห์ เป็นสีเดียวกับท้องฟ้ามืดในยามกลางคืน แม้ว่าสีหน้าของคุณหมอแกเชต์จะไม่แสดงถึงอารมณ์เหมือนกับภาพวาดบุคคลอื่นๆ ของแวน โกะห์ แต่ฝีแปรงที่ตวัดด้วยน้ำหนักและคดเคี้ยวไปมา ทำให้สัมผัสได้ถึงความกังวลและหมดหวังบนใบหน้าของคุณหมอ

ภาพวาดในหลายช่วงของชีวิตของแวน โกะห์ อาจมีความหมองหม่นของความรู้สึก แต่แวน โกะห์ยังคงเชื่อในการเริ่มต้นใหม่ของชีวิต

‘ดอกอัลมอนด์’ เป็นสัญลักษณ์การเริ่มต้นของฤดูใบไม้ผลิที่ดอกไม้ใบไม้บานสะพรั่ง หลังจากความหนาวเหน็บยาวนานหลายเดือนของฤดูหนาว แล้วดอกอัลมอนด์ก็เป็นอีกสิ่งที่แวน โกะห์เพนต์ด้วยความหลงใหลและตั้งใจครั้งแล้วครั้งเล่า

ภาพดอกอัลมอนด์ที่แวน โกะห์วาดขึ้นในช่วงต้นปี 1890 ซึ่งเป็นปีสุดท้ายของชีวิต เป็นภาพดอกอัลมอนด์สีขาวนวลเจือชมพูอ่อน พื้นหลังเป็นท้องฟ้าอบอุ่น และคล้ายจะมีเมฆบางสวย 

ภาพๆ นี้ดูนุ่มนวล อ่อนโยน เพื่อต้อนรับการเริ่มต้นใหม่ของชีวิต แล้วภาพๆ นี้เองเป็นภาพที่แวน โกะห์วาดขึ้นเพื่อเป็นของขวัญให้แก่หลานชายที่เพิ่งลืมตาดูโลก

ทารกน้อยกับการเริ่มต้น

ดอกอัลมอนด์กับฤดูกาลที่มาถึง

ภาพๆ นี้จึงอยู่ในคอลเลกชันถาวรของพิพิธภัณฑ์แวนโก๊ะห์ในกรุงอัมสเตอร์ดัมแห่งนี้ ที่ซึ่งแวน โกะห์ จูเนียร์ หรือว่าหลานชายของแวน โกะห์ เป็นผู้ทุ่มเทความพยายามในการจัดตั้งขึ้น

ด้วยความมุ่งหวังว่าผลงานศิลปะและเรื่องราวของแวน โกะห์ จะเป็นแรงบันดาลใจให้ผู้คนสร้างสรรค์ผลงานศิลปะด้วยสายตาที่งดงาม ดังเช่นวินเซนต์ แวน โกะห์

AUTHOR