ปีนี้สอนให้รู้ว่า “ทำอะไรทำให้สุด จะได้ไม่มีวินาทีไหนที่มาเสียใจทีหลัง” รุ้ง ปนัสยา

ใครหลายคนบอกว่า 2020 เป็นปีชงของคนทั้งโลก แต่สำหรับชีวิตของ รุ้ง–ปนัสยา สิทธิจิรวัฒนกุล คงไม่ได้เจอเรื่องหนักๆ แค่ปีนี้เท่านั้น เพราะเหตุการณ์ทั้งหมดจะเปลี่ยนชีวิตรุ้งและคนในสังคมไปตลอดกาล

นับตั้งแต่ต้นปี เธอเคลื่อนไหวทางการเมืองในฐานะโฆษกของสหภาพนักเรียน นิสิต นักศึกษา แห่งประเทศไทย, เรียกร้องการหายตัวไปของวันเฉลิม สัตย์ศักดิ์สิทธิ์ จนถูกเรียกตัวไปรับทราบข้อหา พ.ร.บ.ความสะอาดและฝ่าฝืน, พ.ร.ก.ฉุกเฉิน, ประกาศข้อเสนอ 10 ข้อเพื่อปฏิรูปสถาบันกษัตริย์, ปราศรัยด้วยข้อความที่ส่งถึงกษัตริย์โดยตรง, ยื่นหนังสือข้อเสนอการปฏิรูปการเมืองผ่านองคมนตรี, ถูกคุมขังในเรือนจำคดียุยงปลุกปั่น มาจนถึงถูกฟ้องคดีอาญามาตรา 112 

แม้เธอจะยอมรับว่าตัวเองเตรียมใจที่ต้องเจอความเปลี่ยนแปลงต่อจากนี้ แต่ถ้าทบทวนเหตุการณ์ทั้งหมดที่เกิดขึ้นกับคนอายุ 22 ปี มันย่อมไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะผ่านไปได้ในแต่ละวัน ยิ่งตั้งแต่รุ้งก้าวออกจากเรือนจำวันแรก หลังจากได้รับการประกันตัว หลายคนสังเกตเห็นสายตาของเธอเปลี่ยนไป จากมุ่งมั่น ไม่อ่อนข้อต่อใครง่ายๆ กลายมาเป็นอ่อนล้า เหน็ดเหนื่อยกว่าที่ทุกคนคิด

ถ้าเปรียบชีวิตรุ้งเป็นหนังสักเรื่อง ปีนี้คงเป็นหนัง coming of age ที่เรียกร้องให้นักกิจกรรมอย่างเธอต้องเติบโตและเข้มแข็งกับชีวิตไม่น้อย แต่เธอมองความหมายในชีวิตและการเติบโตจากเหตุการณ์ตลอดปีนี้ยังไง ต้องไปฟังจากรุ้งเท่านั้น 

หลังออกมาจากเรือนจำแล้ว ชีวิตช่วงนี้เป็นยังไงบ้าง

จริงๆ ต้องเล่าก่อนว่า ช่วงแรกที่เพิ่งออกมาเราพังไปเลย ไม่โอเคจริงๆ ทั้งร่างกายและจิตใจ การอยู่ในนั้นมันทำให้เราค่อนข้างเสียตัวตน อาจจะเพราะว่ามันเป็นเรื่องใหม่สำหรับเรา ถึงแม้จะเตรียมใจไว้แล้วระดับหนึ่ง แต่ตอนออกมามันค่อนข้างทำให้เราฝังใจว่าจะได้กลับไปอีกไหม ถ้าเราได้เข้าไปอีกจะทำยังไง แล้วถ้าเข้าไปนานเราต้องเตรียมอะไรไว้บ้าง

มันเลยค่อนข้างฟุ้งซ่าน แล้วกลายเป็นย้ำคิดย้ำทำ คิดแต่เรื่องนอกคุก ในคุก อยู่ในคุกเราฝันว่าออกมาแล้ว กำลังไปซื้อของกับเพื่อนสนุกสนาน แต่ตื่นมาเรายังอยู่ในห้องขัง พอได้ออกไปข้างนอกเรากลับฝันว่าได้กลับเข้าไปในคุกอีก วันแรกที่ฝันเราร้องไห้เลย มันเป็นอย่างนี้สักพักใหญ่ๆ ก็เลยจะเห็นว่าช่วงแรกเรายังไม่ค่อยออกมาพูด ก็ต้องยอมรับว่ามันไม่โอเคจริงๆ มีหลายคนดูออก ถามเราว่ารุ้งโอเคไหม เราเลยพยายามพักฟื้นใจ จนวันที่ไป SCB เรารู้สึกว่าวันนั้นตัวเองเริ่มกลับมาแล้ว 

ที่บอกว่าระหว่างอยู่ในเรือนจำเสียตัวตนไปเลย ตอนอยู่ข้างในนั้นมันเป็นยังไง 

จริงๆ วันแรกที่เข้าไปก็ยังไม่ได้สำนึกว่าเจออะไรอยู่ เขาให้ไปทำอะไรก็ทำตามขั้นตอน เขียนเอกสาร ปั๊มลายนิ้วมือ อาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้า พอไปถึงห้องเริ่มรู้สึกว่าแย่แล้วว่ะ ฉันต้องมาเจอใคร แล้วคนเหล่านี้คือใคร แล้วจะอยู่กันได้ไหม แล้วต้องทำตัวยังไงบ้าง อันนี้คือสำคัญเลย มันทำให้เรากลัวว่าถ้าเผลอพลาดทำอะไรไปนิดหนึ่งแล้วมันจะมีเรื่องอะไรเกิดขึ้นหรือเปล่า เพราะสำหรับเราภาพจำของคุกมันน่ากลัว เราไม่รู้ว่าข้างในนั้นเป็นยังไง ก็เลยกลัวไปหมด ร้องไห้ตอนนั้นแหละ แล้วพี่ข้างๆ ต้องมานั่งปลอบเราว่า “วันแรกก็อย่างนี้ ไม่เป็นไร เดี๋ยวก็ชิน”  

มันชินก็จริง แต่เราก็ทำอะไรไม่ได้ เพราะข้างนอกเรามีอิสรภาพที่จะพูด คิด หรือทำอะไรได้เต็มที่ แต่การอยู่ในนั้นมันเหมือนเราอยู่ในกล่อง ถ้าให้นิยามคุกไทย เรามองว่ามันเหมือนสัตว์ที่อยู่ในกรงล้อแล้วให้คนมาป้อนอาหาร ทำอะไรก็ตามที่เขาจัดไว้ให้ทำ แล้วฉันทำอะไรได้บ้าง ฉันทำอะไรไม่ได้เลย คิดอะไรไปมันก็ไม่เป็นจริง เพราะทำอะไรไม่ได้ ข่าวสารข้างนอกก็ไม่ได้รับรู้ เพื่อนเป็นยังไงบ้าง ครอบครัวเป็นยังไงบ้าง แล้วเรื่องการเรียนทำยังไง การเมืองข้างนอกเป็นยังไง ทำอะไรไม่ได้เลย พอว่างทั้งวันแล้วมันปล่อยให้เราฟุ้งซ่านได้มาก มีอะไรแวบมาในหัวก็คิดไปเรื่อย 

เอาจริงมันบั่นทอนเราไปมากเลยนะ เพราะเราทำอะไรไม่ได้ มันเลยทำให้รู้สึกว่าเฮ้ย ฉันมาจบแค่นี้เองเหรอ ฉันยังทำอะไรไม่สำเร็จเลย สิ่งที่อยากทำยังไม่ได้ทำเลย มันยังไปไม่สุด เราโดนแช่แข็งไว้

มีความรู้สึกท้อ ไม่เอาแล้ว จะยอมแพ้แล้วบ้างไหม

มันมีมาแวบๆ แล้วหายไปเลย เพราะเราเหนื่อย ใจล้ามาก ทนายเรายื่นประกันทุกวันแต่คำตอบที่ได้รับคือไม่ได้ประกัน เรามีความหวังแล้วถูกทำลายลงอย่างนี้จนมันทำให้เราเหนื่อย 

แต่เอาจริงๆ เรารู้สึกผิดมากนะ มันแวบมาในหัวได้ยังไง รู้สึกผิดทั้งต่อเพื่อนสนิทและเพื่อนในขบวน เราก็เลยต้องย้ำตัวเองเสมอว่าเราคิดอย่างนี้ไม่ได้เลย เพราะมีคนที่ตั้งความหวังกับเราอยู่ มีหลายคนที่เขาทำเองไม่ได้ เขาต้องให้คนอื่นมาพูดให้ ซึ่งเราก็ทำหน้าที่ในการเป็นกระบอกเสียงให้ เราก็เลยบอกตัวเองว่านึกถึงเป้าหมายไว้รุ้ง มองไว้ว่ามันอยู่ตรงนั้นนะ เราต้องไปถึงตรงนั้นให้ได้ แล้วอย่าให้สิ่งนั้นแวบเข้ามาในหัว ยังไงฝั่งที่เราต้องไปต่อก็ต้องชนะ 

ช่วงที่คุณโดนจับมีแฮชแท็กหนึ่งขึ้นมาว่า #ฟ้าหลังฝนมีรุ้งเสมอ แล้วฟ้าหลังฝนของคุณตอนนี้เป็นยังไงบ้าง

จริงๆ เราว่ามันดีนะ เพราะรู้สึกว่าเรามาไกลมาก ประเด็นหลักอันแรกที่เราพูดวันที่ 10 สิงหาฯ เรามีแค่จุดประสงค์เดียว คือเปิดพื้นที่ให้คนพูดเยอะขึ้น เพราะตอนแรกเรามีเพดานเท่านี้ คนก็จะพูดเท่านี้ แต่ตอนนี้เราเปิดเพดานไว้สูงขนาดนี้ เพดานการพูดของคนก็ค่อยๆ เคลื่อนไป

จนตอนนี้มันกลายเป็นหนึ่งในข้อเรียกร้อง 3 ข้อ แล้วคนก็เห็นด้วย หลายคนพยายามหาความรู้ให้ตัวเองด้วยว่าถ้าฉันอยากแก้รัฐธรรมนูญ ฉันต้องทำยังไง คนก็จะออกมาพูดกันว่าฉันอยากได้แบบนี้ ฉันอยากได้แบบนั้น มันเลยมากกว่าแค่การเปิดเพดาน แต่ตอนนี้ทุกคนอยากจะออกมาพูดว่าตัวเองคิดอะไร เราชอบแบบนี้นะ 

แต่ถ้ามองภาพรวมเหตุการณ์ทั้งหมดในปีนี้ คุณมองชีวิตตัวเองในวัย 22 ปีที่เจอเรื่องหนักขนาดนี้ยังไง

เอาจริงก็รู้สึกว่ามันค่อนข้างฉิบหายกับชีวิตพอสมควร อายุ 22 แค่เรียนก็แย่แล้ว ก่อนหน้านี้เราเคยตั้งเป้าหมายไว้ว่าจะเรียนปริญญาโท และจะไปแลกเปลี่ยนต่างประเทศ ซึ่งต้องเรียนให้ได้เกรดดีๆ พอเข้าวงการเมือง พวกนี้ก็หายไปเลย เพราะถ้าเราอยู่ที่ใดที่หนึ่ง เราจะจดจ่อกับตรงนั้นมากๆ จนไม่สนใจเรื่องอื่น 

กลายเป็นว่าอะไรที่มันควรต้องทำตอนนี้ก็ไม่ได้ทำ แต่เราจะมองแบบนั้นไม่ได้ซะทีเดียว เพราะมันก็มีคำถามว่าเราต้องทำตามนอร์มเหรอ ก็คงไม่ใช่ เพราะตอนนี้เรามีหน้าที่อีกอย่างคือการเป็นนักกิจกรรม ซึ่งเรามองว่ายิ่งทำตอนอายุน้อยยิ่งดี เพราะถ้ามันประสบความสำเร็จ เราก็มีเวลาใช้ชีวิตหลังจากความสำเร็จของเราอีกเยอะ ทำตอนนี้ได้เราว่ามันก็ดีแล้ว 

ทำไมคุณเคยบอกว่าการเป็นนักกิจกรรมที่ออกมาพูดเรื่องสถาบันกษัตริย์ทำให้ต้องนึกถึงความตาย แล้วคนอายุ 22 นึกถึงความตายของตัวเองยังไง

เพราะเราต่างรู้กันดีเนอะว่าการพูดถึงกษัตริย์ในประเทศเรามันนำไปสู่อะไรได้บ้าง แต่เรามองถึงความคุ้มค่า ไม่ได้นึกถึงความคุ้มค่าของตัวเองนะ แต่นึกถึงความคุ้มค่ากับสังคมและคนโดยรวม 

เราไม่ได้มองหรอกว่าเราจะตายวันไหน เราแค่มองว่าวันหนึ่งยังไงเราก็ต้องตาย ไม่ตายเร็ว ตายช้า ตายตอนแก่ ยังไงก็ต้องตายอยู่แล้ว เราทำอะไรก่อนตาย อันนั้นคือสิ่งที่สำคัญ เราใช้ชีวิตคุ้มหรือยัง สิ่งที่เราต้องการที่จะทำเราได้ทำหรือยัง เป้าหมายของเรามันสำเร็จหรือยัง 

แล้วไม่ห่วงตัวเองหรือคิดว่าตัวเองจะอายุสั้นไปเหรอ 

มันก็มีหลายอย่างที่เราอยากทำ แต่ว่าถ้าตายช่วงวัยรุ่นแล้วสิ่งที่ทำมาก่อนหน้ามันคุ้ม มันก็แค่นั้น อีกอย่างเราไม่เคยนึกถึงเรื่องของตัวเองเลย เพราะเป็นคนที่นึกถึงคนอื่นก่อนเสมอ แล้วบางทีเราลืมตัวเองไว้ข้างหลัง อย่าง 10 ข้อเราเสนอตัวว่าเราพูดเอง เพราะว่าเราไม่อยากให้คนอื่นมาโดนความเสี่ยง มันไม่มีใครพร้อมไง ถ้าโดนคดีขึ้นมา จะรับมือได้ไหม ไม่ได้ ทุกคนใหม่ เพราะว่ามันเป็นทีมที่เราเพิ่งฟอร์มขึ้นมาทำงานวันที่ 10 โดยเฉพาะ 

เพราะฉะนั้นเราคาดหวังให้เขามาพร้อมกับเราไม่ได้ เราก็เลยบอกว่ารุ้งพูดให้ ดังนั้นแต่ละอย่างที่ตัดสินใจทำ มันไม่ใช่ว่าฉันจะทำแล้วได้อะไร แต่ฉันทำแล้วคนอื่นได้อะไรต่างหาก มันจะเป็นแบบนั้นเสมอ แล้วเราชอบตัวเองที่เป็นแบบนี้นะ

การนึกถึงคนอื่นก่อนมันมีความหมายกับชีวิตคุณยังไง

เราชอบการเป็นผู้ให้ เรารู้สึกดีกับตัวเองด้วย แล้วเราก็ชอบที่จะเห็นคนอื่นรู้สึกดี เราชอบเห็นเวลาคนอื่นยิ้ม มีความสุข เวลามีสิ่งที่เขาต้องการแต่เขาไม่ได้ แล้วเราสามารถทำให้ได้ เราสามารถแก้ปัญหาให้ได้ แล้วเขาโอเค เราชอบ เรารู้สึกว่านี่คือความหมายของชีวิตเรา 

หลายคนบอกว่าปีนี้เป็นปีชงของคนทั้งโลก สำหรับคุณเอง ปีนี้เป็นปีอะไร

ปีแห่งความเหนือความคาดหมาย เพราะเรารู้สึกว่ามันมีอะไรหลายอย่างมากที่มันเกินกว่าที่เราคิดไว้แล้วมันเกิดขึ้น เช่น ม็อบออร์แกนิก เป็ดยางกลายมาเป็นสัญลักษณ์ในม็อบ หรือการออกสื่อของสถาบันกษัตริย์ 

แต่ถ้าเป็นชีวิตตัวเอง ปีนี้เป็นปีแห่งการทรหดแล้วกัน (หัวเราะ) มันมีหลายสิ่งเข้ามาในชีวิต แล้วมันมีแต่เรื่องหนักๆ เราเก่งมากเลยที่ผ่านมันมาได้ เรารู้สึกกับตัวเองว่า มึงกล้าจังวะ วันที่ 10 เราเอาความกล้ามาจากไหนไม่รู้ แล้วเราขึ้นไปพูดเรื่องปฏิรูปสถาบัน พอมามองแล้ว เออ ไปเอาพลังมาจากไหนเยอะแยะ 

คุณคิดว่าเหตุการณ์พวกนี้มันเปลี่ยนแปลงมุมมองต่อชีวิตตัวเองไปมากน้อยแค่ไหน

เยอะ มันทำให้เรานิ่งขึ้นด้วย เรารู้สึกว่าความใจเย็นนี่แหละมันจะทำให้เราตัดสินใจได้ดีที่สุด ถ้าเราใจร้อนโผงผางบางอย่างมันพลาด แล้วมันส่งผลกระทบเยอะ ดังนั้นนิ่งไว้ก่อน แล้วค่อยๆ คิด มองว่าตัวเองเป็นคนที่ใจเย็นก่อน แล้วเอาใหม่ ค่อยๆ คิดกัน

มุมมองของเราก็เปลี่ยนไป เรามองโลกด้วยสายตาที่กว้างขึ้น เพื่อที่จะสามารถประเมินได้อย่างสมเหตุสมผลที่สุด 

พูดถึงความยากลำบากมาเยอะ แล้วความสุขล่ะ ปีนี้มีอะไรให้สุขใจบ้างไหม

(นิ่งคิด) มีอะไรบ้างวะ แย่แล้ว (หัวเราะ) ปีนี้เรามีแมวใหม่ เราอยากเลี้ยงแมวมานานมาก ซึ่งเลี้ยงได้แค่ 4 วันเราก็โดนจับ เลยต้องเอาไปให้ที่บ้านดูแล 

ได้เจอคนที่เราชอบ คนเก่งๆ เรารู้สึกแฮปปี้ หลายๆ คนที่เข้ามาหาถ้าเราไม่เข้ามาทำงานการเมืองเราคงไม่ได้เจอ แล้วก็เพิ่งได้ไปเที่ยว อะไรอีกดี เราคิดไม่ค่อยออก แย่แล้ว (หัวเราะ)

สุดท้ายในปีนี้ที่เหมือนความสุขจะหายากและมีความทุกข์มากกว่า มันสอนอะไรบ้าง

ปีนี้สอนให้รู้ว่าทำอะไรทำให้สุด เพื่อที่จะไม่ต้องมีวินาทีไหนเลยที่เรามาเสียดายทีหลังว่าทำไมตอนนั้นไม่ทำแบบนั้น เรารู้สึกว่าในทุกๆ การตัดสินใจของเรา มันดีแล้วแหละ แต่ว่าในวิธีการหลังการตัดสินใจนั้น คุณก็ต้องทำให้มันเต็มที่ที่สุดเหมือนกัน

AUTHOR

PHOTOGRAPHER

ณัฐวัฒน์ ตั้งธนกิจโรจน์

ชื่อโทนี่ แต่พวกเขามักจะรู้จักผมในนาม Whereisone