ยิ่งหน้าต่างถูกเปิดมากเท่าไร เรายิ่งรู้ร้อนรู้หนาวมากเท่านั้น | จิรเดช โอภาสพันธ์วงศ์

1.

ไม่กี่วันก่อน–หลังจากตื่นมาหลายชั่วโมง ผมเพิ่งรู้ตัวว่าลมหนาวมาเยือนก็ตอนเปิดหน้าต่าง อากาศข้างนอกดีจนนึกโทษตัวเองว่าทำไมไม่ปิดเครื่องปรับอากาศและเปิดหน้าต่างตั้งนานแล้ว

ผมเคยคุยกับพี่ที่เคารพคนหนึ่ง เขาบอกว่าฤดูกาลมีผลต่อคนเมืองน้อยมาก จะร้อนจะหนาวเราก็อยู่ในห้องที่ควบคุมอุณหภูมิได้ จะแดดจะฝนเราก็อยู่ในกล่องสี่เหลี่ยมที่คอยคุ้มตัวคุ้มหัว ต่างจากการอยู่อาศัยท่ามกลางธรรมชาติที่ร้อน หนาว ฝน ล้วนมีผลต่อชีวิต

อยู่ในเมืองเราแทบไม่ต้องคิดถึงเรื่องฤดูกาล ฤดูกาลเปลี่ยนอาจนำมาซึ่งความไม่สะดวกเล็กน้อย แต่มันไม่ได้กระทบภาพใหญ่ของชีวิตเท่าการอาศัยอยู่ใกล้ธรรมชาติ

เรารู้ร้อนรู้หนาวไม่เท่ากันเมื่ออยู่ในสภาพแวดล้อมและสถานการณ์แตกต่างกัน

สำหรับคนเมืองอย่างผมและคนรอบตัวที่ยามอยู่บ้านหรือที่ทำงานเราก็ปิดหน้าต่างแล้วเปิดเครื่องปรับอากาศ

นับวันพวกเรายิ่งห่างไกลจากการรู้ร้อนรู้หนาวที่แท้จริง

 

 2.

รู้ร้อนรู้หนาว

โดยความหมายผมชอบคำคำนี้ และยิ่งเห็นความสำคัญของมันเมื่อไล่อ่านต้นฉบับ a day ฉบับที่ว่าด้วยเรื่องพลังของข่าวจนจบ

รู้ร้อนรู้หนาว ที่ไม่ได้หมายถึงการรับรู้อุณหภูมิภายนอก แต่หมายถึงการรู้สึกรู้สาต่อเพื่อนมนุษย์หรือความไม่เป็นธรรมที่ปรากฏตรงหน้า

“เราคิดว่าสังคมมีความจำเป็นมากที่จะต้องมีคนรู้ร้อนรู้หนาวเป็นเดือดเป็นร้อนในประเด็นสาธารณะ” วลัยลักษณ์ ชมโนนสูง เจ้าหน้าที่ของ Thai PBS ผู้ผลักดันพลเมืองท้องถิ่นให้กลายเป็นนักสื่อสารประจำชุมชน เอ่ยประโยคนี้ในบทสัมภาษณ์ที่ว่าด้วยความสำคัญของนักข่าวพลเมือง

ผมเห็นด้วยกับเธอ ความรู้ร้อนรู้หนาวเป็นต้นทางสำคัญที่ผลักดันให้คนลุกขึ้นมาทำอะไรบางอย่างเพื่อสร้างการเปลี่ยนแปลงหรือเรียกร้องความเป็นธรรม

การต่อสู้ที่กินเวลายาวนานกว่า 26 ปีของชาวบ้านกลุ่มอนุรักษ์ป่าชุมชนเขาเหล่าใหญ่-ผาจันได ตำบลดงมะไฟ อำเภอสุวรรณคูหา จังหวัดหนองบัวลำภู จะไม่เป็นที่สนใจของสังคมถ้าชาวบ้านในพื้นที่ไม่มีใครรู้ร้อนรู้หนาวกับสิ่งที่เกิดขึ้น

กรณีสลายการชุมนุมที่ตากใบเมื่อ พ.ศ. 2547 คงเงียบหายและถูกเข้าใจในอีกทาง ถ้าทนายสมชาย นีละไพจิตร ไม่รู้ร้อนรู้หนาวไปกับชะตากรรมของผู้ชุมนุมที่ถูกละเมิดสิทธิมนุษยชนอย่างร้ายแรงโดยเจ้าหน้าที่รัฐจนต้องลุกขึ้นต่อสู้ แม้ผลปลายทางอาจต้องแลกด้วยชีวิต

การสลายการชุมนุมทางการเมืองทั้งในอดีตและปัจจุบันคงถูกบันทึกไว้ในประวัติศาสตร์ชาติแบบผิดๆ ถ้าไม่มีนักต่อสู้หรือสื่อมวลชนบางคนรู้ร้อนรู้หนาวหยิบข้อเท็จจริงมาเปิดเผยเพื่อเปลี่ยนการรับรู้ของผู้คนในบ้านเมืองให้ถูกต้อง

ที่ว่ามาเป็นเพียงตัวอย่างบางส่วน มีอีกหลายเหตุการณ์–ทั้งที่อยู่ใน a day ฉบับนี้และไม่อยู่ ที่คงดำเนินไปอย่างเงียบเชียบ เลือดเย็น ถ้าไม่มีใครรู้ร้อนรู้หนาวแล้วป่าวประกาศออกมาจนคนจำนวนมหาศาลเป็นเดือดเป็นร้อน ลุกขึ้นมาต่อสู้ร่วมกันในประเด็นเหล่านั้น

และผมเชื่อว่า ความรู้ร้อนรู้หนาวที่ว่า ส่งต่อกันได้ผ่านข่าว

 

3.

ในวิถีชีวิตปกติ เป็นเรื่องเป็นไปไม่ได้ที่เราจะอยู่ใกล้ใจกลางทุกสถานการณ์ที่เกิดขึ้น

คล้ายเรากำลังอาศัยอยู่ในห้องอันอุดอู้ไม่รับรู้ฤดูกาล–ไม่รู้ร้อนรู้หนาว ทั้งที่ในความเป็นจริงอากาศภายนอกอาจกำลังร้อนระอุ หรือพายุฝนอาจกำลังซัดกระหน่ำ

ซึ่งในบทบาทนี้ ผมคิดว่าข่าวเป็นคล้ายหน้าต่าง

เพียงเราเปิดแล้วมองดูสถานการณ์ที่เกิดขึ้นภายนอก โอบรับข้อเท็จจริงอย่างรอบด้าน มองเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นด้วยสายตาของมนุษย์ที่เพ่งมองมนุษย์ด้วยกัน เราย่อมรู้สึกรู้สาไปด้วยกับสิ่งที่เกิดขึ้น

ยิ่งมีหน้าต่างมากเท่าไหร่ เรายิ่งเห็นความจริงภายนอกอย่างรอบด้านมากเท่านั้น

ยิ่งหน้าต่างถูกเปิดมากเท่าไหร่ เรายิ่งรู้ร้อนรู้หนาวมากเท่านั้น

รู้ร้อนรู้หนาวที่ไม่ได้หมายถึงการรับรู้อุณหภูมิภายนอก แต่หมายถึงการรู้สึกรู้สาต่อเพื่อนมนุษย์หรือความไม่เป็นธรรมที่ปรากฏตรงหน้า รู้ร้อนรู้หนาวที่ไม่ใช่เพียงผิวกาย แต่สั่นสะเทือนไปถึงข้างในจนต้องลงมือทำอะไรบางอย่าง

ว่าถึงตรงนี้จึงไม่น่าแปลกใจที่ผู้มีอำนาจจะพยายามไล่ปิดหน้าต่างด้วยการลิดรอนเสรีภาพสื่อ

ในบ้านเมืองที่ปกครองด้วยหลักการอันผิดเพี้ยนและบิดเบี้ยวเช่นนี้ จะมีสถานการณ์ใดน่ากลัวเท่ากับการที่วันหนึ่งประชาชนทุกคนรู้ร้อนรู้หนาวกับความไม่เป็นธรรม จนลุกขึ้นมาร่วมกันต่อสู้

AUTHOR