ถึงหายไป ใช่ว่าจะลืม ‘ขนมปังของพรุ่งนี้ แกงกะหรี่เมื่อวันวาน’ นิยายที่บอกว่าสุดท้ายแล้วชีวิตต้องไปต่อ

Highlights

  • ขนมปังของพรุ่งนี้ แกงกะหรี่เมื่อวันวาน คือวรรณกรรมแปลจากภาษาญี่ปุ่นแนวอบอุ่นหัวใจ ว่าด้วยประเด็นชีวิตกับความตาย โดยคู่นักเขียนสามีภรรยาภายใต้นามปากการ่วม ‘คิซาระ อิซึมิ’ ที่โด่งดังจนถูกนำไปสร้างเป็นซีรีส์
  • เรื่องราวของหนังสือเล่มนี้เกี่ยวกับความทรงจำของคนกลุ่มหนึ่งที่ผ่านการสูญเสียและแตกสลายจากการตายของตัวละครชื่อ 'คาซึกิ' โดยที่พวกเขาพยายามประคับประคองกันและกัน และหาทางปลดล็อกตัวเองจากความเศร้าโศกนี้ เพื่อจะใช้ชีวิตต่อไปให้ได้

ขนมปังของพรุ่งนี้ แกงกะหรี่เมื่อวันวาน

‘นิยายที่จะทำให้คุณอบอุ่นหัวใจกับความสัมพันธ์ของคนกลุ่มหนึ่งที่ผูกพันด้วยการจากไปของคนรัก ท่ามกลางความมืดมิดของการสูญเสียก็ยังมีแกงกะหรี่และขนมปังปิ้งยามเช้า’

นอกจากปกหนังสือสีน้ำตาลอ่อนชวนนึกถึงสีของขนมปังและภาพวาดน่ารักๆ โดย Jiranarong แล้ว คำโปรยบนปกหลังของหนังสือจำนวน 250 กว่าหน้านี้ก็ส่งกลิ่นยั่วยวนชวนอ่าน ทั้งที่ความจริงเมื่อพลิกหน้ากระดาษแล้วละเลียดตัวอักษรไปทีละหน้า จะพบว่าของกินในชื่อเรื่องกลับไม่ได้เป็นตัวชูโรงขนาดนั้น

ทว่าเป็นความตาย การสูญเสีย การแตกสลาย และความหมายของชีวิตต่างหากที่เป็นประเด็นสำคัญของนิยายเรื่องนี้

ขนมปังของพรุ่งนี้

หลังจากอ่านหนังสือแปลญี่ปุ่นแนวอบอุ่นหัวใจมาไม่น้อย ฉันค้นพบว่าส่วนใหญ่เรื่องราวจะเกี่ยวข้องกับชีวิตผู้คนเป็นหลัก อาจเป็นแง่งามของชีวิต สิ่งละอันพันละน้อยที่ชี้ชวนให้เห็นถึงสัจธรรมและธรรมชาติของความสัมพันธ์ แต่ไม่ใช่ว่าทุกเรื่องจะถ่ายทอดออกมาได้ดีนัก หลังๆ มานี้ก็มีหนังสือหลายเล่มที่ฉันอ่านแล้วไม่ค่อยรู้สึกอะไร

จนได้มาเจอ ขนมปังของพรุ่งนี้ แกงกะหรี่เมื่อวันวาน นี่แหละ ที่เมื่ออ่านจบแล้วก็คิดทันทีว่าน่าจะเป็นเล่มที่หยิบมาอ่านซ้ำอีกเรื่อยๆ เป็นหนังสือประเภทที่ยิ่งอ่านยิ่งรัก ยิ่งอ่านยิ่งได้ทบทวนตัวเอง

หนังสือเล่มนี้เป็นผลงานของนักเขียนที่เป็นคู่สามีภรรยาที่สร้างชื่อมาจากการเขียนบทละครโทรทัศน์ อิสึมุ สึโตมุ และ เมกะ โทคิโกะ โดยใช้นามปากร่วมกันว่า ‘คิซาระ อิซึมิ’ ซึ่งได้รับความนิยมมากจนนำไปสร้างเป็นซีรีส์ในช่วงปลายปี 2014

ขนมปังของพรุ่งนี้

ขนมปังของพรุ่งนี้ แกงกะหรี่เมื่อวันวาน เป็นเรื่องราวอันเรียบง่ายแต่อัดแน่นไปด้วยความรู้สึกที่ยากจะก้าวผ่าน หนังสือเล่าถึงชีวิตของผู้คนรอบตัว ‘คาซึกิ’ ชายหนุ่มที่จากไปด้วยโรคร้ายก่อนวัยอันควร ทำให้ ‘เท็ตสึโกะ’ ผู้เป็นภรรยาต้องกลายเป็นหม้าย อยู่กับ ‘เร็นทาโร่’ พ่อสามีที่ภรรยาของเขาได้เสียชีวิตไปแล้ว และแม้ว่าทั้งคู่จะใช้ชีวิตด้วยกันหลังจากคาซึกิไม่อยู่มาได้ถึง 7 ปีอย่างปกติสุขก็จริง แต่ลึกๆ แล้วความตายของชายหนุ่มกลับหยิบฉวยบางสิ่งบางอย่างภายในตัวพวกเขาไปด้วย

เร็นทาโร่ที่สูญเสียลูกชายไป จากที่เคยทำงานเป็นผู้ประกาศข่าวพยากรณ์อากาศ อยู่ๆ ก็ไม่อาจคาดเดาฟ้าฝนของชีวิตตัวเองได้ ไม่ต่างกับเท็ตสึโกะที่เสียศูนย์จากความตายของสามี เธอพยายามอย่างมากในการประคับประคองบ้านหลังนี้กับสมาชิกที่ยังเหลืออยู่ แต่กลับไม่สามารถก้าวไปข้างหน้าได้อย่างแท้จริง ราวกับทั้งคู่กลายเป็นคนเว้าแหว่งไปโดยไม่รู้ตัว

จนเมื่อความทรงจำเกี่ยวกับคาซึกิของทั้งคู่ได้รับการกระตุ้นโดยตัวละครอื่นๆ ไม่ว่าจะเป็นเพื่อนบ้านผู้เป็นแอร์โฮสเตสที่อยู่ๆ ก็ยิ้มไม่ได้ สาวนักไต่เขาที่พยายามหลบหนีบางอย่างในชีวิต ชายหนุ่มที่คิดว่าการแต่งงานคือความสำเร็จ หรือเด็กหนุ่มร่างสูงที่ฝันอยากมีเซ็กซ์ในรถสักครั้ง พวกเขาต่างเชื่อมโยงกันด้วยสายใยความตายของคาซึกิ ก่อนจะค่อยๆ พบกับสิ่งที่ช่วยปลดล็อกหัวใจให้ก้าวเดินต่อไปข้างหน้า

ขนมปังของพรุ่งนี้

แม้เรื่องจะเปิดมาในช่วงเวลาที่คาซึกิไม่อยู่แล้ว แต่เราสามารถรับรู้ถึงตัวตนของเขาผ่านเรื่องราวของตัวละครในแต่ละบทด้วยความแนบเนียน คนนั้นเชื่อมต่อกับคนนี้ คนนี้มีความสัมพันธ์กับคนโน้น โยงใยกันไปเรื่อยๆ และถึงแม้จะจั่วหัวว่าเป็นนิยายที่พูดถึงประเด็นของผู้คนที่ยังไม่มูฟออนจากความตายหรือการหายไปของใครสักคน ซึ่งฟังดูเป็นโทนเรื่องที่หนักหนาสาหัส แต่นักเขียนกลับเล่าออกมาได้อย่างนุ่มนวล ลึกซึ้ง ทั้งยังแทรกอารมณ์ขันให้เราแอบยิ้มไปด้วย

แต่ด้วยความที่นักเขียนเล่าเรื่องไปเรื่อยๆ ไม่เรียงตามไทม์ไลน์ จึงอาจทำให้คนอ่านสับสนนิดหน่อย ซึ่งถ้าจับจุดที่ทุกเรื่องมีร่วมกันได้ก็ไม่ค่อยมีปัญหานัก อีกอย่างฉันรู้สึกว่าถ้าใครที่เคยมีประสบการณ์รักใครสักคนอย่างสุดหัวใจน่าจะยิ่งอินกับหนังสือเล่มนี้ได้ไม่ยาก

จุดที่ฉันประทับใจมากๆ ของหนังสือเล่มนี้คือการที่หนังสือเล่าถึงความสุขได้โดยไม่ต้องบอกว่าตัวละครนี้มีความสุขแบบโต้งๆ หรือกระทั่งความเศร้าก็เช่นกัน ใช้เพียงบางเหตุการณ์และการกระทำของตัวละครที่อาจไม่ใช่เรื่องใหญ่โตอะไร เป็นแค่การคีบเม็ดแปะก๊วย การซื้อชามข้าว หรือการตัดสินใจส่งรถเข้าเซียงกง แต่กลับบอกเล่าความรู้สึกได้อย่างลึกซึ้งละเอียดอ่อน เหมือนเห็นแสงที่สว่างวาบขึ้นมาราวกับใครกดเปิดสวิตช์ไฟ ทำให้เราเข้าใจชีวิตเพิ่มขึ้นมาอีกนิดหนึ่ง

ระหว่างที่อ่านฉันอดไม่ได้ที่จะหวนนึกถึงตัวเองตอนที่พยายามทำเป็นหลงลืมหรืออยากให้ใครสักคนกลับมา แม้เป็นความรู้สึกที่ค่อนไปทางสับสนหม่นเศร้า แต่ปฏิเสธไม่ได้ว่าตัวเองก็เสพติดห้วงเวลาแบบนั้นอยู่เหมือนกัน ถึงเป็นความทรงจำที่อยากลืมแต่หลายครั้งฉันกลับใช้มันเป็นเครื่องทบทวนตัวเอง ค่อยๆ ละเลียดระลึกถึงอย่างละเอียด แน่นอนว่าอาจลืมเลือนไปได้บ้างแต่มันก็ไม่เคยหายไปไหน คงเหมือนที่เร็นทาโร่พูดกับเท็ตสึโกะว่า “คนเราล้วนมีชีวิตอยู่โดยถูกครอบงำด้วยอะไรบางอย่างอยู่เสมอนั่นแหละ ไม่ว่าจะเป็นความริษยา ความโกรธ ความโลภ หรือความเศร้าก็ตาม”

ขนมปังของพรุ่งนี้

โดยสรุป ขนมปังของพรุ่งนี้ แกงกะหรี่เมื่อวันวาน ไม่ได้ต้องการบอกให้เราเป็นคนที่ดีขึ้นหรืออยู่กับปัจจุบันแล้วปล่อยอดีตทิ้งไป แต่หนังสือพยายามบอกว่าทุกคนล้วนไม่เพอร์เฟกต์สมบูรณ์ มนุษย์ต่างมีความเว้าแหว่งและอะไรบางอย่างที่ไม่สามารถก้าวข้ามผ่านได้ทั้งนั้น เพียงแต่เราไม่จำเป็นต้องลืมใครหรือผลักไสไล่ส่งความทรงจำของวันวานไป เราสามารถอยู่กับมันพร้อมกับเปลี่ยนแปลงไปตามกาลเวลาได้ ไม่จำเป็นต้องปิดกั้นตัวเองให้ฝังติดกับอดีต เหมือนที่สุดท้ายแล้วภรรยาและพ่อของคาซึกิก็ต้องดำเนินชีวิตต่อไป โดยคิดถึงคนที่จากไปและเริ่มต้นชีวิตใหม่อย่างมีความสุขได้ด้วย

“ถึงจะเอาไปทิ้งไว้ในที่ที่มองไม่เห็น แต่สุดท้ายก็ใช่ว่าจะหายไปจากโลกนี้ และก็มีคนที่ถึงจะตายไปแล้วแต่ก็ยังอยู่เหมือนกันนะคะ ถึงจะมองไม่เห็น แต่เขาก็ยังอยู่ค่ะ”

ความตายสอนอะไรเราเสมอ แต่การใช้ชีวิตต่อไปก็สอนอะไรเรามากมายเหมือนกัน ดังนั้นฉันคิดว่าเราน่าจะใช้ชีวิตให้ดี เพื่อที่จะตายไปอย่างไม่ติดค้างหรือมีเรื่องให้เสียดาย

aday

คุณเห็นด้วยไหม

ขนมปังของพรุ่งนี้

AUTHOR

PHOTOGRAPHER

ณัฐวัฒน์ ตั้งธนกิจโรจน์

ชื่อโทนี่ แต่พวกเขามักจะรู้จักผมในนาม Whereisone