“เราโชคดีที่ได้ทำสิ่งที่เด็กหญิงอิ้งค์ฝัน” อิ้งค์ วรันธร ในวันแรกที่อายุ 27 ปี

อิ้งค์ วรันธร

อิ้งค์–วรันธร เปานิล ฝันอยากเป็นนักร้องตั้งแต่อายุ 7 ขวบ

15 ปีต่อมา ความฝันของเธอเริ่มผลิบาน เมื่อได้ปล่อยซิงเกิลแรกในชีวิตอย่างเพลง เหงา เหงา (INSOMNIA)

จากวันนั้นจนถึงวันนี้ เป็นเวลากว่า 5 ปีที่เธอยังคงทำสิ่งที่ตัวเองรัก

และต่อยอดไปไกลกว่านั้นมากจนเรียกได้ว่าเป็นความสำเร็จ

อิ้งค์ วรันธร

23 กุมภาพันธ์ 2564 เป็นวันคล้ายวันเกิดอายุครบ 27 ปีของอิ้งค์ วรันธร

เป็นเวลาครบ 20 ปีพอดีที่ชีวิตหญิงสาวคนหนึ่งประกอบไปด้วยความฝันเดียว

20 ปี–ฟังดูนาน แต่สำหรับการใช้ชีวิต บางทีก็รู้สึกเหมือนสั้น

20 ปี–เหมือนจะสั้น แต่เมื่อคิดถึงระหว่างทาง ไม่แปลกที่บางครั้งจะรู้สึกเหมือนนาน

การสัมภาษณ์ครั้งนี้จึงเริ่มต้นโดยเอาวันเวลาเหล่านั้นเป็นที่ตั้ง

เราย้อนไป 1 ปีถึงขวบปีที่เธอทำงานในฐานะคนในวงการเพลง กราฟชีวิตของอิ้งค์ขึ้นสูงจากผลตอบรับของผลงาน และลงต่ำจากวิกฤตโควิด-19 ที่ศิลปินทั้งวงการได้รับผลกระทบเต็มๆ

เราย้อนไป 5 ปีถึงช่วงที่เธอเริ่มต้นอาชีพในฐานะศิลปินเดี่ยวเต็มตัว ถ้าเทียบกับปัจจุบันมีอะไรที่เปลี่ยนแปลงไปบ้าง

เราย้อนไป 20 ปีถึงวันเวลาที่เด็กหญิงวรันธรขึ้นไปประกวดร้องเพลงบนเวทีที่มีแฟนเพลงขาประจำอยู่ 2 คนถ้วน–พ่อและแม่ของเธอเอง

เพื่อไม่ให้เป็นการเสียเวลา ให้คำบอกเล่าของ อิ้งค์ วรันธร บอกกล่าวถึงเรื่องราววันวานที่เป็นดั่งทรัพย์สินมีค่าของเธอ

สิ่งมีค่าที่เรียกว่า ‘ความทรงจำ’

อิ้งค์ วรันธร

ปีที่ผ่านมาดูเป็นปีที่หนักหนาสำหรับทุกคนในวงการดนตรี คุณล่ะ เป็นยังไงบ้าง

เรามีช่วงซัฟเฟอร์เรื่อยๆ แทบทั้งปี แต่ถามว่าถึงขั้นเครียดไหมก็ไม่ได้ขนาดนั้น เพราะพอคิดว่านี่เป็นสิ่งที่ทุกคนเจอเหมือนกันหมด เราเลยคิดว่าไม่แปลกหรอกที่ต้องปรับตัว ค่อยๆ ทำใจและแก้สถานการณ์กันไป ซึ่งเราว่าตัวเองแก้ได้ค่อนข้างดีนะ

อย่างแพลนปีที่แล้วตอนแรกก็ไม่ใช่แบบที่ทุกคนเห็น เราไม่มีเพลง ลบไม่ได้ช่วยให้ลืม ด้วยซ้ำ (ปล่อยออกมาเมื่อเดือนกรกฎาคม ปัจจุบันในยูทูบมียอดเข้าชมกว่า 26 ล้านครั้ง) แต่นี่คือการแก้ไขสถานการณ์เพื่อให้ปีที่แล้วเราไม่หายไป เพลงนี้จึงถูกทำขึ้นมาช่วงล็อกดาวน์เพื่อให้เพลงทำงานแทน แต่ปรากฏว่าผลตอบรับของ ลบไม่ได้ช่วยให้ลืม เกินคาดมาก ตอนที่กลับมาเล่นคอนเสิร์ตครั้งแรกคนร้องตามดังมาก เหมือนเป็นการตอกย้ำว่าสิ่งที่เราคิดและแก้ไขมันถูกต้อง

จำความรู้สึกตอนกลับมาแสดงสดหลังล็อกดาวน์รอบแรกได้ไหม

จำได้ เป็นร้านร้านหนึ่งที่คนดูเยอะมาก เหมือนทุกคนมาเพราะคิดถึงบรรยากาศแบบนี้ เราและพี่ๆ แบ็กอัพมองหน้ากันก็รับรู้ได้ว่าแต่ละคนคิดถึงและมีความสุขกับการแสดงจริงๆ น้อง sound engineer ยังเดินมาบอกเลยว่า “วันนี้พี่อิ้งค์ร้องดังมาก” เป็นอีกวันที่เราทดไว้เลยว่าเล่นสนุกที่สุดในชีวิต

อิ้งค์ วรันธร

คุณเคยให้สัมภาษณ์ว่า “ทำงานทุกวันนี้เพื่อใช้ชีวิต” เท่ากับปีที่ผ่านมาชีวิตคุณหายไปส่วนหนึ่งหรือเปล่า

หายไปแทบจะ 50 เปอร์เซ็นต์เลย พาร์ตที่ได้เจอคนและมีความสุขมันหายไป อย่างที่บอกว่าเราเข้าใจสถานการณ์นะ แต่โดยส่วนตัวเราว่าไม่มีอะไรมาแทนความรู้สึกตอนเล่นคอนเสิร์ตได้ การได้เห็นมวลผู้คนและสายตามันเติมพลังให้ศิลปินได้จริงๆ แต่ถามว่าเราแฮปปี้ที่ได้เล่นออนไลน์ไหมเราก็แฮปปี้ เพราะเรามองว่านั่นก็เป็นทางออกหนึ่งที่คลายความคิดถึงได้ เหมือนมาให้กำลังใจเพื่อรอวันที่จะได้กลับมาเจอกัน

ที่ผ่านมาเคยต้องรับมือกับสิ่งเหล่านี้มาก่อนไหม

ถ้าเปรียบตัวเองกับปีที่แล้ว ปีก่อนหน้า หรือปีก่อนหน้านั้นอีก เราว่าตัวเองโชคดีมากเลยที่ชีวิตศิลปินของเราไม่ราบรื่นมาโดยตลอด

ตั้งแต่วันแรกที่เข้ามาเป็นศิลปิน เหมือนเราได้เจอความทุกข์และอุปสรรคอยู่เรื่อยๆ ช่วงแรกก็ซัฟเฟอร์ เก็บเรื่องเล็กๆ น้อยๆ มาคิดจนเป็นแผลใหญ่ แต่พออยู่ไปเรื่อยๆ เราก็เริ่มเรียนรู้ ทำใจ และยอมรับว่ามันไม่มีอะไรยากที่สุด อีกไม่กี่วันหรือเดือนหรือปีเราจะเจอเรื่องที่ยากขึ้นกว่านี้แน่ๆ 

ยกตัวอย่างเช่นคอนเสิร์ตใหญ่ครั้งแรกของเราเมื่อ 2 ปีที่แล้วที่น่าจะเป็นช่วงที่เรามีความสุข แต่เราก็ตรวจพบว่าตัวเองมีเนื้องอกในมดลูกช่วงนั้นพอดี นั่นเป็นเรื่องใหญ่ที่สุดในชีวิตที่เคยเจอซึ่งเราต้องรักษาไปพร้อมๆ กับซ้อมคอนเสิร์ต มันเครียดและกดดันมาก แต่พอถึงวันจริงเหมือนเราทิ้งทุกอย่างไว้ข้างล่าง เราขึ้นไปบนเวทีโดยไม่มีความเครียดอะไร คนดูคอนเสิร์ตก็ไม่รับรู้ถึงความเครียดของเรา ซึ่งนึกย้อนกลับไปเราก็ชมตัวเองทุกครั้งที่ผ่านมาได้ มันกลายเป็นภูมิต้านทานให้เราเมื่อเจออุปสรรคที่เข้ามาหลังจากนั้น

ภูมิต้านทานที่ว่าคืออะไร

มันคือความรู้สึกที่ว่า ‘ไม่ว่าจะทุกข์หรือสุข ไม่มีสิ่งไหนเลยที่อยู่กับเราตลอดไป’

อย่างทุกวันนี้เวลาทุกข์เราก็จะรู้สึกกับมัน แต่เราก็จะรับรู้ว่าเดี๋ยวพอผ่านไปหนึ่งปีทุกอย่างจะหายไป จิตใจเราจะฮีลตัวเองเป็นปกติได้เพื่อเจอเรื่องใหม่ที่ทุกข์กว่าเดิม และเราก็จะฮีลตัวเองขึ้นมาใหม่อีก เราจะดีใจใหม่ เศร้าใหม่ สลับกันไปเรื่อยๆ แบบนี้ เราเลยพยายามไม่เก็บทุกเรื่องมาเป็นประเด็นใหญ่ในชีวิตอีกแล้ว 

ปลง?

ไม่เชิง ใช้คำว่า ‘เข้าใจมากขึ้น’ ดีกว่า ชีวิตมันไม่สามารถแฮปปี้ได้ตลอดเวลา เมื่อก่อนเราโลกสวยมากแบบนั้นเลยนะ เรายอมรับความผิดพลาดไม่ได้เลย รู้สึกว่าทุกเรื่องเป็นเรื่องใหญ่ ทุกอย่างควรเป็นไปแบบที่เราคิดสิ ถ้าไม่ใช่เราจะเสียใจ รู้สึกผิด และโทษตัวเองเสมอว่าเราควรทำได้ดีกว่านี้ เหมือนเราคาดหวังกับความสุขมากไปทั้งๆ ที่ในการทำงานจริงมันไม่มีทางเป็นแบบนั้นได้ร้อยเปอร์เซ็นต์อยู่แล้ว

อิ้งค์ วรันธร

ถ้าอย่างนั้นปัจจุบันโลกของคุณเป็นแบบไหน โลกไม่สวยแล้วเหรอ

เราว่าก็ยังสวยอยู่แต่เป็นแบบใหม่ (หัวเราะ) เป็นโลกสวยในแบบของคนที่โตขึ้น มองโลกตามความจริง คือดีลกับโลกแบบไม่เนกาทีฟและดีลกับตัวเองไปเรื่อยๆ ดังนั้นเรามองว่าปีที่ผ่านมาน่าจดจำนะ ถึงจะลำบากแต่โดยรวมก็เป็นปีที่ดี เราว่าตัวเองแข็งแรงขึ้นมากๆ อย่างที่เห็นตอนนี้คือเป็นอิ้งค์ที่เข้มแข็งมากที่สุดแล้ว 

คุณตอบเหมือนสเตตัสเมื่อวันเกิดปีที่แล้วเลย ว่าปีนี้เป็นปีที่น่าจดจำและแข็งแรง

(นิ่งคิดนาน) จริงด้วย ก็อาจเป็นวิธีการมองโลกของเราช่วงนี้แหละ ซึ่งปีหน้าก็อาจรู้สึกแบบนี้อีก เพราะในเมื่อเข้าใจว่าเรื่องดีและไม่ดีผ่านไปแล้ว ดังนั้นทุกสิ่งที่เกิดขึ้นมันเลยกลายเป็นเรื่องน่าจดจำหมด

ย้อนไปไกลกว่านั้นหน่อย ตอนเป็นเด็กคุณมองผู้ใหญ่ที่อายุ 27 ด้วยสายตาแบบไหน

จำได้ว่ามองว่าพวกเขาต้องโตและเก่งมากแน่ๆ เพราะอายุ 27 นี่คือแม่อิ้งค์มีอิ้งค์แล้วนะ แต่พอถึงตอนนี้ที่เราอายุ 27 บ้าง (เว้นช่วงและหัวเราะ) ทำไมไม่เห็นรู้สึกโตเลย! (เน้นเสียง) อาจรู้สึกบ้างในแง่การทำงาน การวางแผน และความรับผิดชอบที่ต้องมีมากขึ้น แต่ถ้าดูจากบริบทอื่นๆ หรือการใช้ชีวิต ทั้งๆ ที่เวลาผ่านไปไวมากแต่เรารู้สึกว่าตัวเองไม่ได้เปลี่ยนไปเท่าไหร่ เรายังมีความเป็นเด็กอยู่ ยังเป็นเด็กหญิงอิ้งค์คนเดิมที่ชอบร้องเพลงและรักครอบครัวเหมือนเดิม

ช่วงที่ปล่อยเพลงแรกในชีวิตเมื่อ 5 ปีที่แล้ว คุณเคยตั้งสเตตัสเป็นเนื้อเพลง พื้นที่เล็กๆ ของบอย–ตรัย ภูมิรัตน ว่า ‘ขอพื้นที่เล็กๆ นี้ยังเป็นเด็กไปนานๆ ให้เรายังได้ฝัน ให้เรายังยิ้มได้’ ตอนนี้ยังรู้สึกแบบนั้นอยู่ไหม

รู้สึก ทุกวันนี้เวลาฟังเพลงนี้เราก็ยังคิดถึงตัวเองตอนเป็นเด็ก เพราะสำหรับเราทุกอย่างในเพลง พื้นที่เล็กๆ ของพี่บอยคือเรื่องจริงหมด โลกของผู้ใหญ่มันไม่ง่าย ยิ่งถ้าเราปล่อยให้ชีวิตเดินไปเรื่อยๆ รู้ตัวอีกทีทุกอย่างในโลกก็เปลี่ยนไปหมดแล้ว แต่ความเป็นเด็กนั่นแหละที่ทำให้เราไม่หลงลืมว่าตัวเองเป็นใครและเราว่านั่นเป็นเรื่องสำคัญมาก

พอเดินมาไกลบางทีก็หลงลืมไปว่าอะไรผลักดันให้เรามาจนถึงจุดนี้ สำหรับเรามันคือตัวตนที่เคยมีและเคยเป็น ถ้าเด็กหญิงอิ้งค์คนนั้นไม่ชอบร้องเพลง ถ้าเด็กหญิงอิ้งค์คนนั้นไม่มีความฝัน เราว่าเป็นเรื่องยากมากที่จะเดินมาได้ นั่นทำให้ทุกวันนี้เวลาเหนื่อยเราจะพยายามมองจุดเริ่มต้นเสมอว่าที่มีทุกวันนี้ได้เพราะเด็กคนนั้น เราโชคดีและคุ้มค่ามากที่ได้ทำสิ่งที่เด็กหญิงอิ้งค์ฝัน

เวลามองย้อนกลับไปตอนเด็กๆ คุณเห็นภาพอะไร

เราเห็นเป็นภาพความสุขของคนรอบตัวนะ เห็นภาพคุณพ่อคุณแม่ที่นั่งดูเราจากที่นั่งคนดู

เราจำสายตาที่เขามองเราได้ จำได้ว่าเขาถ่ายวิดีโอเก็บไว้และเอาไปอวดเพื่อน จำได้ว่าเขาและคนรอบข้างมีความสุขขนาดไหนจากเสียงร้องของเรา มันเป็นความทรงจำที่ดีที่ทำให้เรารักการร้องเพลงจนกลายเป็นความฝัน ทั้งหมดเริ่มต้นจากแฟนคลับ 2 คนแรกคือคุณพ่อกับคุณแม่ ก่อนที่จะขยายใหญ่มากขึ้นเรื่อยๆ จนถึงตอนนี้

ทุกวันนี้คุณพ่อคุณแม่ยังไปดูคุณร้องเพลงอยู่ไหม

ไปอยู่บ้าง เขายังคงภูมิใจกับเรา เพียงแต่ส่วนใหญ่ก็จะติดตามผ่านยูทูบมากกว่า แต่อย่างเวลาปล่อยเพลงใหม่ วันนั้นเราก็จะได้ยินเสียงเพลงในบ้านวนไปเรื่อยๆ ทั้งวัน หรืออย่างช่วงไหนที่เราไม่มีเวลาคิดโชว์ใหม่ พ่อก็จะเดินมาบอกว่า “ทำไมไม่ทำโชว์ใหม่เลย แฟนคลับในยูทูบบ่นแล้ว” ซึ่งก็คือตัวเขานั่นแหละ  

ปกติแล้ววันเกิดคุณทำอะไรบ้าง

ทำบุญ ไม่ได้ทำอะไรหวือหวาเลย งานวันเกิดก็ไม่เคยจัด แค่ได้อยู่กับครอบครัวก็แฮปปี้แล้ว

คุณเคยให้สัมภาษณ์หลายครั้งว่าตัวเองเป็นคนคิดมาก แล้วอย่างในวันเกิดคุณคิดถึงอะไรบ้าง

ไม่คิดอะไรเลย (หัวเราะ) ปล่อย เพราะโดยส่วนตัวเรามองวันเกิดหรือแม้กระทั่งวันปีใหม่ว่าเป็นแค่วันหนึ่งในชีวิตที่เกิดขึ้น เราเลยไม่ได้มีช่วงเวลามาย้อนคิดว่าปีที่ผ่านมาทำอะไรพลาดไปบ้าง ในเมื่อมันเกิดขึ้นแล้ว เราก็ได้เรียนรู้จากมันหมดแล้ว ทั้งหมดได้หล่อหลอมเราให้เติบโตขึ้นในทุกปี หรือแม้กระทั่งเรื่องของอนาคตเราก็ไม่ได้คิด เพราะในเมื่อเราไม่รู้ว่าอะไรจะเกิดขึ้น เราขอคิดตอนที่มันเกิดขึ้นเลยดีกว่า

สุดท้าย เนื่องในวันเกิด ถ้าขอพรได้หนึ่งข้อคุณจะขออะไร

(นิ่งคิดนาน) จะว่าไปปีนี้แปลกกว่าทุกปี เราคิดถึงเรื่องนี้ตั้งแต่เมื่อ 2 วันที่แล้วที่ได้คุยกับคุณพ่อ เราไปปรึกษาเขาว่าช่วงนี้เราดวงตก แต่พอเราเล่าแบบนั้นคุณพ่อกลับตอบว่า “จะถึงวันเกิดแล้วใช่ไหม พ่อจะไม่อวยพรให้อิ้งค์มีความสุขหรอกนะ พ่ออยากอวยพรให้อิ้งค์เห็นความสุขมากกว่า” 

ช่วงนั้นเป็นช่วงที่เราเริ่มคิดเล็กคิดน้อยอีก อะไรที่ควบคุมไม่ได้เราก็เก็บมาคิดหมด เริ่มตั้งคำถามว่าทำไมต้องเจอเรื่องแบบนี้ พ่อเลยเตือนว่าจริงๆ แล้วเราไม่ได้ดวงตกหรอก แต่เรากำลังพยายามมีความสุขแทนที่จะมองหามัน พ่อบอกว่าเราเหมือนปลาที่มองไม่เห็นน้ำ ทั้งๆ ที่สิ่งที่อยู่รอบตัวเรามันใสสะอาด บริบทรอบๆ เราดีมาก แต่เราไม่เห็นน้ำเลย เรากลับเห็นก้อนกรวดที่ตกลงมาแล้วพาลคิดว่ามันเป็นเรื่องใหญ่ พ่อเลยอวยพรเราแบบนั้น ดังนั้นกับวันเกิดปีนี้เราจึงอยากขอพรเรื่องนี้แหละ

ไม่ว่าจะทุกข์แค่ไหน โดนโลกโบยตียังไง เราอยากเห็นความสุขด้วยตัวเองโดยไม่ต้องมีคนมาบอก ถึงปีหน้าเราจะคิดว่าน่าจะเป็นปีที่ยากอีกปี แต่เราก็อยากรับมือมันให้ได้โดยเห็นความสุขในบริบทที่ตัวเองยืนอยู่


befor.tart อิ้งค์–วรันธร เปานิล

ทาร์ตผสมช็อกโกแลตถึง 3 ชนิด ให้รสชาติและสีที่ค่อย ๆ เพิ่มความเข้มข้น แทนการเติบโตตามลำดับในช่วงเวลาที่ผ่านมาของเธอ เริ่มด้วยไวต์ช็อกโกแลตที่ให้รสชาติหวานหอม สีขาวที่ดูอ่อนโยนผสมด้วยพริก เพิ่มมิติของรสชาติให้ต่างออกไป รสเผ็ดเจือกับความหวานนี้ส่วนหนึ่งแทนถึงจุดเปลี่ยนสำคัญในชีวิตในช่วงมัธยมปลายที่พลาดจากการสอบเข้าเอกภาษาอังกฤษอย่างที่หวังไว้ ความผิดหวังนั้นเป็นแรงกระตุ้นให้เธอมุ่งมั่นกับเป้าหมายของตัวเองมากขึ้น

สำหรับรสที่เข้มขึ้นอีกนิดอย่างมิลค์ช็อกโกแลต ให้ความหวานปนกับความสดชื่นของเสาวรส สะท้อนถึงความมุ่งมั่นในเส้นทางที่เธอรักและเลือกที่จะจริงจังกับมันอย่างการร้องเพลง และสุดท้าย รสขมและเข้มข้นของดาร์กช็อกโกแลตที่ผสมลงในมูสกาแฟรสขม ด้านหนึ่งแทนความเป็นผู้ใหญ่และความทุ่มเทให้กับการทำงาน แต่ภายใต้รสขมนั้นผสมว่านหางจระเข้ที่มีสัมผัสชุ่มชื้นและคุณสมบัติในการเยียวยาบาดแผล ทั้งหมดจึงสื่อสารถึงบทบาทของอิ้งค์ในฐานะการเป็นผู้เยียวยาแฟนคลับทุกคนผ่านบทเพลง

ขอบคุณสถานที่ บ้านดั้งเดิม ณ พัฒนาการ

AUTHOR

PHOTOGRAPHER

พิชย์ สุนทโรสถ์

ช่างภาพหน้าหมี ผู้ชอบเพลงแจ๊สเป็นชีวิตจิตใจ